สยบฟ้า พิชิตปฐพี
ทดลองอ่านนิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 21 ตอนที่ 1
บทที่ 1 สนทนาหน้าพุทธะ
ฝนแรกในเขตเป่ยซานหลังต้องเผชิญกับภัยแล้งมาเป็นเวลานานเย็นเฉียบ หนิงเชวียพบทารกหญิงคนหนึ่งใต้กองซากศพ ตอนนั้นนางเขียวไปทั้งตัว ลมหายใจแทบจะขาดห้วงด้วยความหิวโหยและหนาวเหน็บ และนับจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ในใจหนิงเชวียก็คล้ายมีเงามืดซุกซ่อนอยู่ ทุกครั้งที่ซังซังป่วยหนัก เงานั้นก็จะยิ่งดำมืดและถูกมันซ่อนลึกลงไปมากขึ้นทุกที
เวลาผ่านไป ความถี่ที่ซังซังล้มป่วยเริ่มเว้นระยะห่าง แม้หมอในค่ายทหารประจำเมืองชายแดนจะไม่มีปัญญากำจัดไอเย็นในตัวนางให้หมดไปได้ แต่ก็ให้ใบสั่งยาที่ถูกกับโรค ดังนั้นขอเพียงพกสุรารสชาติร้อนแรงติดตัวอยู่ตลอดเวลา และไม่ลืมให้นางทำงานบ้านเพื่อเคลื่อนไหวเส้นเอ็นให้โลหิตหมุนเวียนเป็นประจำ หนิงเชวียก็แทบจะลืมเงามืดที่ว่าไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฝึกวิชาเทพ ไอเย็นในร่างของซังซังก็เปรียบเสมือนเกล็ดหิมะเบาบางที่พบเจอดวงตะวันในฤดูวสันต์ มลายหายไปจนแทบจะไม่หลงเหลืออยู่อีก หนิงเชวียเดิมทีเข้าใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทว่าผู้ใดจะคาดคิด จู่ๆ อาการของซังซังก็กำเริบขึ้นมา ทั้งยังหนักขึ้นกว่าเดิม เทียบกับทุกครั้งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าทวีความน่ากลัวขึ้น
เงามืดที่อยู่ในใจจึงผุดขึ้นมาอีกครา ครั้งนี้มันกังวลจนไม่เป็นอันกินอันนอน ก็แม้แต่จอมปราชญ์ยังรักษาไม่หาย แล้วหลวงจีนในวัดลั่นเคอจะรักษาให้หายได้หรือ มันเริ่มคิด อาการของซังซังจะเป็นเพียงแค่อาการป่วยอย่างหนึ่ง หรือโชคชะตาได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าอนาคตที่เย็นเยือกกำลังรอพวกมันอยู่ข้างหน้า
เป็นเพราะเงามืดในใจ หนิงเชวียเลยไม่เคยถกถึงเรื่องนี้กับซังซัง ทว่าดูเหมือนตอนนี้ซังซังอยากจะถกกับมันแล้ว เพียงแต่มันไม่พร้อมที่จะฟัง
มันไม่อยากฟัง แต่ซังซังอยากพูด
“นายน้อย ท่านรู้ใช่ไหมว่าเพราะเหตุใดหมู่นี้ข้าถึงมองหน้าท่านบ่อยๆ”
มิรู้ทำไม ซังซังเริ่มเรียกมันว่านายน้อยอีกแล้ว
หนิงเชวียยิ้มแย้มตอบ
“รู้ เพราะนายน้อยของเจ้าเกิดมาหน้าตาน่ามองยิ่ง”
ซังซังเหลือกตาขึ้น ถอนใจดังเฮือก
“ท่านมิใช่องค์ชายหลงชิ่งในสมัยโน้นเสียหน่อย ไหนเลยคู่ควรให้ผู้อื่นมอง”
หนิงเชวียกล่าวเสียงขุ่นเคือง
“ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
ซังซังรู้ว่ามันแสร้งทำเป็นโกรธ จึงกล่าวเสียงเบา
“ท่านรู้เหตุผลดี”
หนิงเชวียรู้ แต่ไม่ยอมพูดออกมา ตอนนี้มันเหมือนเด็กชายที่กำลังดื้อรั้นและโกรธง่าย ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาก็อาจจะร้องไห้งอแงได้ทันที ผิดกับซังซังที่เหมือนพี่สาวผู้อ่อนโยนและเข้าใจเรื่องราวต่างๆ เป็นอย่างดี นางมองมันเงียบๆ ก่อนกล่าวเสียงนุ่มนวล
“ข้ากลัวว่าตายไปแล้วจะไม่ได้เห็นท่านอีก”
ในที่สุดก็ได้ยินคำที่ไม่อยากจะได้ยินจากปากนางจนได้ หนิงเชวียตัวสั่นเยือก
ซังซังมองหลุมศพที่อยู่ตรงหน้าพลางถามเสียงค่อย
“คนเราตายแล้วจะไปยังที่ใด ไม่ว่าจะกลายเป็นเถ้ากระดูกหรือศพที่เน่าเปื่อยก็ล้วนต้องถูกผืนดินกลบหน้า ข้าจะยังเป็นข้าอยู่หรือไม่”
หนิงเชวียไม่อยากให้นางรู้สึกหดหู่เช่นนี้ เพราะอารมณ์หดหู่สิ้นหวังไม่เป็นผลดีต่ออาการป่วยของนาง มันอยากเปลี่ยนเรื่องพูด แต่ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนอย่างไรดี
“มีคนบอกว่าความตายคือความว่างเปล่า แต่บางคนบอกว่าหลังตายแล้วจะต้องไปยังโลกแห่งความมืด”
ซังซังกล่าวต่อด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
“ข้ายินยอมไปโลกแห่งความมืด เพราะแม้จะฟังดูน่ากลัว แต่ข้าสามารถไปรอท่านอยู่ที่นั่นได้”
หนิงเชวียเห็นนางหน้าซีดก็ถอดเสื้อตัวนอกคลุมไหล่ให้ กล่าวเสียงเบา
“คนในโลกแห่งความมืดจะลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ไปหมด ถึงตอนนั้นเจ้าจะจำข้าไม่ได้ ดังนั้นเจ้าอย่าไปเลย”
“ความตายนี่เป็นความรู้สึกอย่างไรหรือ”
สีหน้าซังซังปราศจากความกลัว มีแต่ความอยากรู้ รูปร่างผอมบางพอถูกคลุมด้วยเสื้อของหนิงเชวียก็ดูไม่ต่างจากร่างของเด็กที่ขโมยเสื้อผ้าผู้ใหญ่มาใส่ ทั้งตลกและน่ารักยิ่ง
“หน้าเจ้าตากลมเย็นๆ จนขาวซีดไปหมดแล้ว รีบกลับกันเถอะ”
หนิงเชวียเอ่ยปากชวน
แม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูสารท บริเวณรอบวัดลั่นเคอกลับไม่มีความหนาวเย็นสักเท่าใดนัก ที่ใบหน้าของซังซังไร้สีเลือดจึงย่อมมิได้มีสาเหตุมาจากลมหนาว แต่เป็นเพราะไอเย็นในร่างมากกว่า
ซังซังเข้าใจในจุดนี้ ทว่าก็ยังยื่นมือทั้งสองข้างไปตรงหน้าหนิงเชวีย
หนิงเชวียยืนงงไปในตอนแรก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสมัยเป็นเด็กนางมักแสดงท่าทางออดอ้อนเยี่ยงนี้ออกมา มิรู้ทำไม หัวใจมันพลันเจ็บแปลบ รีบยื่นหน้าเป่าลมอุ่นๆ ใส่ฝ่ามือน้อยๆ ของนาง
ซังซังดึงมือที่อุ่นขึ้นเล็กน้อยกลับไปแนบแก้ม กล่าวอย่างนึกเสียใจ
“นายน้อย ตั้งแต่เล็กท่านมักบอกว่าข้าเป็นสาวใช้ที่หน้าตาน่าเกลียด ทั้งยังบอกอีกว่าผิวขาวสามารถกลบเกลื่อนความน่าเกลียดบนใบหน้าได้ ข้ารู้ว่าตัวเองเกิดมาดำคล้ำ พอมาอยู่ฉางอันจึงใช้เงินมากมายไปกับการซื้อแป้งของร้านเฉินจิ่นจี้ ผลกลับกลายเป็นว่าเสียเงินเปล่า เพราะแม้หน้าจะขาวขึ้นมาบ้าง แต่กลับไม่สามารถทำให้ท่านพอใจได้”
หนิงเชวียดึงนางไปกอด
“ไม่ว่าจะดำหรือขาว ขอเพียงยังงกเงินและดุร้ายเหมือนเดิม เจ้าก็ยังเป็นซังซังที่สามารถทำให้นายน้อยพอใจได้”
ได้ยินเช่นนี้ซังซังก็ยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันหน้าคู่ใหญ่ ดูแล้วน่ารักเหมือนสัตว์ชนิดหนึ่งบนเขาหมินซาน
แต่ก่อนซังซังไม่รู้สึกว่าต้องทำตัวให้น่ารักต่อหน้าหนิงเชวียหรือต่อหน้าผู้อื่น ทว่าบัดนี้นางอยากให้หนิงเชวียรู้สึกว่านางน่ารัก เพื่อที่มันจะได้มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับตัวนาง
“ท่านยังไม่ตอบคำถามของข้า”
“คำถามอะไร”
“ความตายเป็นความรู้สึกอย่างไร”
“ข้าไม่เคยตาย แล้วจะรู้ได้อย่างไร หรือเจ้าจะให้ข้าขุดศพอาจารย์อาหญิงขึ้นมาตอบเจ้า”
หนิงเชวียพยายามพูดให้ตลกขบขัน แต่ก็พบว่าคำพูดของตัวเองช่างไม่น่าขบขันเอาเสียเลย มันก้มหน้ามองแมลงที่นอนตายอยู่บนพงหญ้า เงียบไปนานก่อนเงยหน้า
“อันที่จริงข้ารู้ว่า…ความตายไม่ใช่เรื่องสนุกแม้แต่น้อย ดังนั้นเจ้าอย่าตายเป็นอันขาด”
ซังซังสบตามันขณะรับคำด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮื่อ ข้าจะพยายาม จะพยายามให้เต็มที่”
หนิงเชวียลูบศีรษะนาง
“ดี พวกเราจะพยายามด้วยกัน”
ไอหมอกที่ลอยปกคลุมไปทั่วเริ่มกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ จากหนึ่งหยดเป็นหลายหยด ตกใส่ใบหน้าและเปลือกตาของหนิงเชวีย ทำให้ดวงตามันดูรื้นชื้น
“กลับกันเถอะ”
ซังซังส่ายหน้า
“ข้ายังอยากเดินเล่นอีกหน่อย”
หนิงเชวียท้วง
“เจ้าตากฝนไม่ได้”
ซังซังเอื้อมมือไปหยิบร่มที่สะพายไว้ด้านหลัง
“ต่อให้อยากเปียกก็เป็นไปไม่ได้”
หนิงเชวียยิ้มพลางรับร่มไปกางแล้วจูงมือนางเดินไปยังวิหารส่วนหน้า
พอฝนโปรยปรายลงมา หมอกบางๆ ก็ค่อยๆ สลายตัวไป ชายคาวิหารและเจดีย์ที่เมื่อครู่มองเห็นได้รำไรกลางไอหมอกเริ่มปรากฏเด่นชัดต่อสายตา
หนิงเชวียมองยอดเขาหลังวัดโบราณผ่านม่านพิรุณ ที่นั่นมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งซึ่งน่าจะสร้างจากศิลาขาวราคาแพง ฝนที่ตกใส่ใบหน้าอันสงบนิ่งและอ่อนโยนของพระพุทธรูปศิลาดูราวกับหยาดอัสสุชล จึงช่วยเพิ่มกลิ่นอายสงสารเวทนาที่ปฐมพุทธะมีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายขึ้นอีกหลายส่วน
อยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น แต่มันก็ยังสามารถเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงขนาดของรูปสลักนี้ว่าจะใหญ่โตสักเพียงใด และยิ่งไม่ต้องจินตนาการว่ายามสานุศิษย์แหงนหน้ามองจากเชิงเขาจะบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาถึงขนาดไหน
หนิงเชวียชี้ไปยังพระพุทธรูปศิลา
“ว่ากันว่านี่ก็คือปฐมพุทธะที่ก่อตั้งนิกายพุทธ”
ซังซังเงยหน้าถาม
“จะไหว้หรือไม่ ไหว้จากที่นี่โดยไม่ต้องขึ้นเขาก็ได้”
“ปฐมพุทธะคือคน ข้าก็คือคน ปฐมพุทธะเคยอ่านคัมภีร์สวรรค์เล่มแสงสว่าง ข้าก็เคยอ่านเช่นกัน แล้วจะต้องไหว้ไปทำไม”
เสียงคนและเสียงรถม้าดังแว่วมาจากบริเวณวิหารหลัก ยามนี้เพิ่งจะรุ่งสาง วัดลั่นเคอไม่เปิดรับผู้มาเที่ยวชมทิวทัศน์ ฉะนั้นคนเหล่านี้จะต้องเป็นเหมือนกับหนิงเชวีย คือเป็นคณะทูตหรือไม่ก็เป็นตัวแทนจากสำนักค่ายพรรคต่างๆ ที่มาพักแรมรออยู่ในวัด
หนิงเชวียกล่าวต่อ
“ยกเว้นว่าปฐมพุทธะมีความศักดิ์สิทธิ์จริง สามารถรักษาอาการป่วยของเจ้า ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าไม่บอก ข้าก็จะมาคุกเข่ากราบไหว้เอง จะให้ไหว้สักสามวันสามคืนก็ยังได้”
เสียงหนึ่งพลันแว่วมา
“จะขอให้ปฐมพุทธะรักษาโรคก็ควรขอด้วยใจที่เลื่อมใสศรัทธา หากเจ้าไม่มีความจริงใจ เห็นปฐมพุทธะเป็นเพียงแค่หมอรักษาคนที่มีอยู่ถมถืด เช่นนั้นแม้ปฐมพุทธะจะมีความสามารถก็ต้องไม่มีทางรักษาให้ภรรยาของเจ้าแน่”
รถม้าหรูหราหลายคันวิ่งจากวิหารหลักมาถึงตรงที่หนิงเชวียยืนอยู่ เสียงที่เต็มไปด้วยแววตำหนิติเตียนและเย่อหยิ่งจองหองดังขึ้นจากรถม้าคันหนึ่งในนั้น
เดิมทีหนิงเชวียเข้าใจว่าผู้กล่าววาจาคงจะเป็นพุทธมามกะจากแคว้นเยวี่ยหลุน ทว่าพอเห็นขบวนรถกลับพบว่าอีกฝ่ายมาจากแคว้นหนานจิ้นไปเสียฉิบ
แม้ตอนนี้จะมีฝนตกพรำๆ แต่การนำรถม้ามาวิ่งอยู่ในลานวัดอันเงียบสงบก็นับเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมติดจะประโคมโอ่อยู่บ้าง ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายสามารถค้างแรมในวัดก็แสดงว่าจะต้องมิใช่คนที่มีศักดิ์ฐานะธรรมดาอย่างแน่นอน
หนิงเชวียนึกคาดเดา คนในรถม้าหากมิใช่ทูตแคว้นหนานจิ้นก็จะต้องเป็นศิษย์ศาลากระบี่ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนมิใช่คนที่มันอยากเห็นหน้าในตอนนี้ทั้งสิ้น
รถม้าคันนั้นจอดลงตรงจุดที่ไม่ห่างจากหนิงเชวียกับซังซังยืนอยู่สักเท่าไหร่ ม่านถูกเลิกขึ้น ชายหนุ่มรูปโฉมคมคายน่ามองแต่ขาวซีดยื่นหน้าอันบึ้งตึงออกมาบริภาษหนิงเชวียต่อ
“อยู่ในวัดต้องสำรวมตน แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจรึ มิรู้จริงๆ ว่าหลวงจีนในวัดอนุญาตให้เจ้าเข้ามาพักได้อย่างไร”
หนิงเชวียขมวดคิ้ว
“เจ้ารู้จักข้าหรือ”
คุณชายหน้าขาวถามด้วยน้ำเสียงเยาะๆ
“ข้าต้องรู้จักเจ้าด้วยหรือ”
หนิงเชวียร้องอ้อ
“ข้านึกว่าเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร เลยคิดใช้อุบายกล่าวติเตียนให้ข้าได้ยินก่อนค่อยกล่าวขอโทษทีหลัง สร้างโอกาสเข้าถึงตัวทำความรู้จักกับข้า”
ได้ยินเช่นนั้นคุณชายหน้าขาวก็มึนงงไปครึ่งค่อนวัน ก่อนถามเสียงดังอย่างไม่เชื่อหู
“นี่เจ้ากำลังบอกว่าข้าจงใจมาตีสนิทกับเจ้าอย่างนั้นรึ”
หนิงเชวียยักไหล่
“หมู่นี้มีคนจำนวนไม่น้อยคิดหาวิธีแปลกๆ สารพัดสารพันมาผูกสัมพันธ์กับข้า ถ้าเจ้าไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวก็แล้วไป”
วาจาเรียบง่ายของมันแฝงแววเย้ยหยันเอาไว้เต็มเปี่ยม
ตั้งแต่ซังซังล้มป่วย จิตใจหนิงเชวียก็เหมือนจะป่วยตามไปด้วย โดยเฉพาะหลังการต่อสู้ที่วัดหงเหลียน เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวกดดันจิตใจมันให้หม่นมัวอยู่ตลอดเวลา แม้การฝ่าด่านรู้ชะตาได้สำเร็จจะช่วยทำให้เบิกบานขึ้นได้บ้าง แต่มันก็ยังต้องการที่จะระบายอารมณ์อยู่ดี บัดนี้จู่ๆ ได้พบกับโอกาสที่เฮ่าเทียนประทานให้ แล้วมีหรือที่มันจะปล่อยให้หลุดมือไป
คุณชายหน้าขาวตาลุกวาวด้วยโทสะ ชี้หน้าตวาดอย่างกราดเกรี้ยว
“เจ้านับเป็นตัวอะไร!”
เสียงตวาดนี้เข้าทางหนิงเชวียพอดี มันเอียงคอหนีบก้านร่มดำไว้กับไหล่พลางม้วนแขนเสื้อ
ทว่าขณะนั้นเองก็มีมือข้างหนึ่งมาดึงตัวคุณชายหน้าขาวกลับเข้ารถม้าไป
หนิงเชวียรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ใครกันช่างมาขัดจังหวะเหวี่ยงหมัดเหวี่ยงเท้าของมันเสียได้
มือข้างนั้นปรากฏสู่สายตาหนิงเชวียแวบเดียวก็จริง แต่ก็เพียงพอให้สังเกตเห็นลักษณะพิเศษบางอย่างได้ ซึ่งก็คือนิ้วที่เรียวยาวแต่หนักแน่นมั่นคง ฝ่ามือที่ใหญ่และหนาด้าน นี่คือมือที่เหมาะกับการฝึกกระบี่และจับกระบี่อยู่เป็นประจำ บรรดาจอมกระบี่ในโลกของผู้ฝึกฌานล้วนใช้กระบี่บิน ยกเว้นเพียงสำนักเดียวเท่านั้น และสำนักที่ว่าก็บังเอิญตั้งอยู่ในแคว้นหนานจิ้น ใช่แล้ว นี่ย่อมต้องเป็นสำนักศาลากระบี่ของเทพกระบี่หลิ่วไป๋ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้านั่นเอง
จากการอนุมานนี้หนิงเชวียจึงพอจะเดาออกถึงความเป็นมาของเจ้าของมือได้ ดังนั้นแม้เปลือกนอกมันดูเหมือนจะรู้สึกเสียดาย แท้ที่จริงภายในกลับมีแต่ความรู้สึกตื่นตัวระมัดระวัง
อึดใจต่อมา อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากในรถม้า น้ำเสียงนี้สงบนิ่งและอ่อนโยนขณะกล่าวขอโทษหนิงเชวียแทนคุณชายคนเมื่อครู่ คิดว่าจะต้องเป็นเสียงของเจ้าของมือเมื่อครู่อย่างแน่นอน
ได้ยินคำขอโทษ ได้รับรู้ถึงความสุขุมเยือกเย็นในน้ำเสียง สีหน้าของหนิงเชวียแม้ไม่แปรเปลี่ยน แต่ในใจกลับลอบแตกตื่น เพราะมันคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงยอดคนด่านรู้ชะตา ที่สำคัญคือมันไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดยอดคนด่านรู้ชะตาของศาลากระบี่ถึงได้ยอมอ่อนข้อให้มัน
เนื่องจากมันกำลังอยู่ในวัด และซังซังก็กำลังป่วย ต้องการการรักษาจากหลวงจีน หนิงเชวียจึงไม่ต้องการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เห็นอีกฝ่ายกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ น้ำเสียงที่ใช้ก็เต็มไปด้วยความสุภาพอ่อนโยน จึงเพียงโบกมือเป็นเชิงว่าเลิกแล้วต่อกัน
เสียงยอดคนจากศาลากระบี่ดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณชายของข้าวู่วามเสียมารยาทไปจริงๆ เพียงแต่สหายอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ไยไม่ลองแบ่งใจยอมรับในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นบ้าง”
คำแนะนำนี้แม้จะพูดได้ว่าเป็นความปรารถนาดี แต่ก็แฝงการอบรมสั่งสอนไว้หลายส่วน คนผู้นี้ถึงอย่างไรก็เป็นยอดคนด่านรู้ชะตา หนิงเชวียจึงไม่รู้สึกผิดคาด มันส่ายหน้ากล่าวว่า
“ที่พวกเจ้าชาวหนานจิ้นบูชาคือเฮ่าเทียน ต่อให้กราบไหว้พระพุทธรูปสักเพียงใด ปฐมพุทธะก็ไม่แน่ว่าจะปลาบปลื้มยินดีกับการกราบไหว้ของพวกเจ้า ข้าเองก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะมาไหว้พระ บัดนี้ปัญหาเกิดจึงค่อยมา ดังนั้นต่อให้หมอบกราบจนศีรษะจรดพื้น ปฐมพุทธะก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องสนใจเรื่องการแสดงออกด้วย”
ยอดคนจากศาลากระบี่ถอนใจเบาๆ คล้ายผิดหวังกับคำพูดของหนิงเชวีย หลังกล่าวขอตัวขบวนรถม้าก็วิ่งช้าๆ ไปยังวิหารข้างทางทิศตะวันออก
ผู้คนทั่วหล้าต่างก็ให้ความสำคัญกับเทศกาลอวี๋หลันเป็นอย่างยิ่ง ฤดูสารทปีนี้มิทราบว่ามีบุคคลสำคัญมากมายเท่าใดเดินทางมาร่วมงาน โดยเฉพาะสองสามวันก่อนหน้าที่งานจะเริ่ม ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็สามารถพบเจอบุคคลมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกของการฝึกฌานได้ ทว่าหนิงเชวียกลับมิได้ให้ความสนใจกับคนเหล่านี้แม้แต่น้อย ซึ่งย่อมต้องรวมถึงคุณชายหน้าขาวที่มันเดาฐานะออกแล้ว
ฝนหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่สาดเข้ามาใต้ร่ม แต่อากาศภายในวัดก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว หนิงเชวียจูงมือซังซังชวนเดินกลับไปพักผ่อน ก่อนจากไปมันหันมองยอดเขาหว่าซานอีกครั้ง
ที่นั่นพระพุทธรูปศิลาทอดสายตามองลงมาอย่างสงบ ดวงหน้าที่เปียกฝนจนชุ่มโชกแสดงถึงความเวทนาต่อส่ำสัตว์ที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
หากเป็นดั่งที่ท่านกล่าวไว้ โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่ากงเกวียนกำเกวียน เช่นนั้นชาตินี้ข้าทำเรื่องเลวร้ายมามาก คงต้องไม่ได้รับกรรมดี แต่สำหรับซังซัง ข้าคอยระวังมาตลอดไม่ให้มือของนางเปื้อนโลหิต ข้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ ดังนั้นต่อให้ต้องมีการชดใช้กรรมก็ขอให้กรรมทั้งหลายมาตกอยู่กับตัวข้า อย่าตกไปที่นางเลย
หนิงเชวียกล่าวกับพระพุทธรูปศิลาอยู่ในใจ
แต่หากท่านยืนกรานที่จะเอาเรื่องกับนางจนถึงขั้นทำให้นางต้องจากโลกนี้ไป ข้าไม่เพียงจะทำลายพระพุทธรูปศิลาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าองค์นี้ของท่านเสีย ยังจะเผาวัดลั่นเคอกับวัดทุกวัดในแคว้นเยวี่ยหลุน และสังหารสานุศิษย์ของท่านให้หมดสิ้นจนนิกายพุทธต้องดับสูญไปจากแผ่นดินอีกด้วย
ขบวนรถม้าที่มาจากแคว้นหนานจิ้นบัดนี้จอดนิ่งอยู่หน้าวิหารข้าง บุรุษร่างใหญ่กำยำหลายคนกวาดสายตาคมกริบไปรอบๆ คอยให้การอารักขาแก่เจ้านายที่อยู่ในวิหาร นอกจากนี้ยังมีบุรุษลักษณะเหมือนขุนนางติดตามอีกหลายคนยืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคา มิได้เข้าไปข้างในด้วย
ใต้สายฝนพรำ วิหารข้างยิ่งดูมืดสลัวมากขึ้น อรหันต์ศิลาสิบกว่าองค์ภายในวิหารเปล่งประกายหม่นมัว อรหันต์เหล่านี้บ้างกำลังแย้มโอษฐ์บ้างกำลังโศกศัลย์ แต่ละองค์ทำท่ามุทราแตกต่างกันไป มีทั้งประกบสิบนิ้วเข้าด้วยกัน มีทั้งยกมือแบค้างอยู่กลางอากาศ ให้ความรู้สึกงดงามและน่าเกรงขามไปพร้อมๆ กัน
บุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีฟ้าอมเขียวคนหนึ่งกำลังยืนมองอย่างเพ่งพินิจ สองมือที่ไพล่หลังมีนิ้วเรียวยาวหนักแน่นมั่นคง มันก็คือยอดคนด่านรู้ชะตาที่นั่งอยู่ในรถม้าคันนั้นนั่นเอง
สักพักบุรุษวัยกลางคนก็ละสายตาจากรูปปั้นอรหันต์พลางกล่าวอย่างนึกเสียดาย
“วัดไป๋ถ่าแคว้นเยวี่ยหลุน วัดวั่นเยี่ยนถ่าในเมืองฉางอันและที่นี่ต่างก็มีรูปปั้นอรหันต์ประดิษฐานอยู่มากมาย ว่ากันว่าคนที่ฉลาดปราดเปรื่องจึงจะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของท่ามุทราเหล่านี้ น่าเสียดาย ข้าแค่สัมผัสได้ว่ามีสติปัญญาแฝงอยู่ในนั้น แต่กลับไม่สามารถทำความเข้าใจได้”
ภายในวิหารมีแต่ความเงียบ คุณชายสูงศักดิ์แคว้นหนานจิ้นที่เมื่อครู่บริภาษใส่หนิงเชวียสีหน้ายังคงบึ้งตึง แม้มันไม่ได้กล่าวตำหนิออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่ยอดคนจากศาลากระบี่ผู้นี้กล่าวขอโทษหนิงเชวียแทนมัน เพราะการทำเช่นนี้ทำให้มันรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง
บุรุษวัยกลางคนเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ลอบถอนใจยาว กล่าวเตือนเสียงอ่อนโยน
“ในโลกของผู้ฝึกฌานมีแต่พยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้น สำมะหาอะไรกับนี่เป็นงานชุมนุมเทศกาลอวี๋หลันของวัดลั่นเคอ ยอดคนที่น้อยครั้งจะเหยียบย่างเข้าสู่โลกิยะไม่แน่ว่าอาจปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แม้แคว้นหนานจิ้นเราจะไม่กลัว แต่ไยต้องหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวด้วยเล่า”
ผู้ที่ติดตามคุณชายหน้าขาวมาวัดลั่นเคอด้วยยังมีเฒ่าชราผมเผ้าขาวโพลนหลังงองุ้มอีกคน ซอกแขนมันหนีบกระดานหมากล้อมไว้แผ่นหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความทระนงถือดี
เฒ่าชราคนนี้ก็คือมือดีด้านหมากล้อมของแคว้นหนานจิ้น ได้รับฉายาว่าเซียนหมากล้อม ชีวิตนี้น้อยครั้งจะแพ้ให้ใคร และเพราะเข้าออกในวังได้ตามใจชอบจึงบ่มเพาะนิสัยจองหองอวดดี พอคิดว่าคุณชายของตนเป็นบุคคลระดับใดแล้ว มีหรือจะต้องมากลัวเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ให้เสียเกียรติ ก็กล่าวอย่างขุ่นเคือง
“เฉิงเซียนเซิงเป็นศิษย์น้องของเทพกระบี่หลิ่วไป๋ ยังจะกลัวเรื่องยุ่งยากเล็กๆ น้อยๆ ด้วยหรือ อีกอย่าง ฟังจากสำเนียงของเจ้าหนุ่มนั่นก็รู้ว่าเป็นชาวถัง พวกเรายิ่งไม่ควรอ่อนข้อให้มัน”
คุณชายหน้าขาวเองก็คิดเช่นนี้อยู่ในใจ จึงมองบุรุษวัยกลางคนดูว่ามันจะกล่าวกระไร
บุรุษวัยกลางคนแซ่เฉิง นามจื่อชิง เป็นหนึ่งในยอดคนด่านรู้ชะตาจำนวนไม่กี่คนของศาลากระบี่ ดังนั้นมันย่อมไม่สนใจท่าทีของเซียนหมากล้อม กระทั่งสายตาของคุณชายสูงศักดิ์มันก็ทำเป็นมองไม่เห็นขณะอธิบายเสียงเรียบ
“ฉีซานต้าซือเป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ต่อแคว้นหนานจิ้นเรา หากก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นในวัด ไม่ว่าศิษย์พี่หรือฝ่าบาทคงต้องไม่พอใจเป็นแน่”
ฝ่าบาทที่มันเอ่ยถึงย่อมหมายถึงจักรพรรดิแคว้นหนานจิ้น ส่วนศิษย์พี่ของมันย่อมต้องเป็นเทพกระบี่หลิ่วไป๋ หลังเฉิงจื่อชิงอัญเชิญขุนเขาใหญ่ทั้งสองออกมา ภายในวิหารข้างก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดกล้ามีความเห็นอื่นอีก
เฉิงจื่อชิงเดินออกจากวิหารไปหาขุนนางหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคา ใช้สายตาบอกใบ้ให้อีกฝ่ายเดินตามไปยังที่ลับตาคน ก่อนถามขึ้น
“ใช่มันหรือไม่”
ขุนนางหนุ่มคนนี้แซ่เซี่ย นามเฉิงอวิ้น หรือก็คือคุณชายสามแซ่เซี่ยแห่งแคว้นหนานจิ้นที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังสมัยสอบเข้าสถานศึกษานั่นเอง ต่อมาหลังหนิงเชวียทดสอบเข้าชั้นสองได้สำเร็จ คุณชายสามแซ่เซี่ยก็กลับแคว้นหนานจิ้นไปอย่างเศร้าหมอง อาศัยชื่อเสียงที่สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มน้อย ใช้เวลาไม่นานก็สามารถมีที่ยืนในราชสำนัก ปีนี้มันถูกจักรพรรดิแคว้นหนานจิ้นแต่งตั้งให้เป็นขุนนางในสังกัดองค์รัชทายาท
ได้ยินเฉิงจื่อชิงถาม เซี่ยเฉิงอวิ้นก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เฉิงจื่อชิงเห็นเช่นนั้นก็เงียบงันไป อันที่จริงแค่ได้เห็นร่มดำกับสองหนุ่มสาวที่ยืนเคียงกันอยู่ใต้ร่ม มันก็พอจะเดาถึงฐานะของคนทั้งสองได้แล้ว ยิ่งพอบุรุษหนุ่มแสดงท่าทีเฉยเมยต่อนิกายพุทธ มันก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองคาดเดาได้ถูกต้อง รู้ว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่กล่าวคำขอโทษแทนรัชทายาทและรีบจากมา เพราะหากปล่อยให้รัชทายาทรู้ว่าบุรุษหนุ่มคนนั้นคือใครก็อาจจะเกิดเป็นเรื่องราววุ่นวายใหญ่โต แม้มันจะบรรลุด่านรู้ชะตาแล้ว แต่ก็ยังไม่คิดจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนล่วงเกินสถานศึกษาและบรรดายอดคนที่อยู่ในนั้น
คิดถึงตรงนี้ก็หันไปทางเซี่ยเฉิงอวิ้น
“พรุ่งนี้ฉีซานต้าซือจะออกจากถ้ำ หนิงเชวียจะต้องปรากฏตัวแน่ ดังนั้นเจ้าต้องจับตามองรัชทายาทเอาไว้ให้ดี หลังรัชทายาทรู้ฐานะของหนิงเชวียจะต้องไม่ปล่อยให้มันแสดงโทสะออกมา”
เซี่ยเฉิงอวิ้นรู้ดีว่าเฉิงจื่อชิงกังวลเรื่องอะไร แม้จะลังเลแต่สุดท้ายก็ยังรับคำเสียงเบา มันเป็นขุนนางสังกัดวังตะวันออกมาได้ครึ่งปีแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่ารัชทายาทที่มันจะต้องคอยรับใช้ให้ความช่วยเหลือไปตลอดชีวิตมีนิสัยอย่างไร การยับยั้งมิให้คนผู้นี้บันดาลโทสะเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ครั้นแล้วมันก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจึงมองหน้าเฉิงจื่อชิง รวบรวมความกล้ากล่าวเปรยเสียงเบา
“ได้ยินว่าน้องชายของเทพกระบี่ถูกคนผู้นี้ทำร้ายจนตาบอด”
แววตาเฉิงจื่อชิงเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบทันที
“ข้ารู้ว่าเจ้าเคยเป็นสหายร่วมสถานศึกษากับมัน และรู้ด้วยว่าสำหรับคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่เล็กอย่างเจ้า การได้มาเห็นคนที่เคยเป็นสหายร่วมเรียนขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกิยะ ในขณะที่ตัวเองกลับถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังจนไกลสุดกู่ เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเพียงไร ทว่าหากเจ้าไม่มุมานะมากกว่านี้ หรือล้มเลิกความคิดที่จะแข่งขันกับมัน การใช้วิธีการอื่นๆ นอกจากจะไม่มีความหมายแล้วยังจะทำให้เจ้าเจ็บปวดใจยิ่งขึ้นไปอีก”
เฉิงจื่อชิงนึกถึงศีรษะที่ลอยอยู่ในสระโบราณของศาลากระบี่ นึกถึงสหายร่วมสำนักที่ต้องเก็บตัวฝึกกระบี่อย่างยากลำบากอยู่ในห้องลับทั้งๆ ที่ตาบอดสนิททั้งสองข้าง ก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“อย่าได้คิดอาศัยกระบี่ของศาลากระบี่ไปฆ่าคน เพราะเรื่องที่ศาลากระบี่เราชิงชังที่สุดก็คือการถูกผู้อื่นยืมกระบี่”
ที่มันพูดถึงก็คือเรื่องที่อดีตต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาให้คนในหน่วยที่แฝงตัวอยู่ในศาลากระบี่เอากระบี่ของเฉาเสี่ยวซู่มอบให้แก่หลิ่วอี้ชิง พยายามที่จะยุแยงให้ศาลากระบี่กับสถานศึกษาผิดใจกัน
จุดจบของเรื่องราวในครั้งนั้นคือหลิ่วอี้ชิงถูกหนิงเชวียใช้ดาบเดียวฟันจนตาบอด ผ่านไปหลายเดือนจึงค่อยถูกส่งตัวกลับศาลากระบี่ ส่วนเทพกระบี่หลิ่วไป๋หลังทราบข้อเท็จจริงก็วาดภาพกระบี่ใส่กระดาษส่งไปให้เยี่ยหงอวี๋ จากนั้นอดีตต้าเสินกวนหน่วยพิพากษาก็ถูกฆ่าบนบัลลังก์หยกดำ
เซี่ยเฉิงอวิ้นรู้ว่าน้องชายของเทพกระบี่กับหนิงเชวียเคยประลองกันครั้งหนึ่งที่ประตูข้างของสถานศึกษา เพราะข่าวการประลองเป็นที่อึกทึกครึกโครมไปทั่วเมืองฉางอัน ทว่ามันหาได้รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของการประลองในครั้งนั้นไม่
จู่ๆ เซี่ยเฉิงอวิ้นก็รู้สึกว่าสายตาของเฉิงจื่อชิงกลายเป็นกระบี่คมกริบสองเล่ม นัยน์ตาพลันเจ็บแปลบเหมือนถูกคมกระบี่กรีดผ่าน มันรีบก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว มิกล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
โปรดติดตามตอนต่อไป…