ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 25 ตอนที่ 2
มุมหนึ่งทางทิศตะวันออกของกองทัพร่วม อารมณ์บนใบหน้าของศิษย์สวนโม่ฉือแห่งต้าเหอดูซับซ้อนยิ่ง จั๋วจือหวามองเงาหลังของอาจารย์ คิดจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด
ปรมาจารย์อักษรหวังเซียนเซิงขมวดคิ้วมองไปทางทิศเหนืออย่างเงียบงัน มันและบรรดาศิษย์สวนโม่ฉือต่างมองเห็นลูกธนูห้าดอกนั้น มองเห็นพลังสังหารที่น่ากลัวของลูกธนู ต่อให้เป็นตัวมันที่อยู่ในด่านรู้ชะตามานานหลายปีก็ยังไม่แน่ใจว่าถ้าลูกธนูยิงมาที่ตน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อีกประการหนึ่ง ต่อให้มันถ่อมตัวอย่างไรมันก็รู้ดีว่าฝ่ายกองทัพร่วมในตอนนี้มันควรอยู่ในรายชื่อเป้าหมายของลูกธนูด้วย ที่หนิงเชวียไม่ยิงตนนั้นมีเพียงเหตุผลเดียว
เทียนเมาหนี่ว์ไหล่ซ้ายบาดเจ็บ พันผ้าพันแผลไว้ ใบหน้าเล็กๆ ที่น่ารักสดใสขาวซีดเป็นอย่างยิ่ง นางถามอย่างน้ำตาคลอว่า
“หรือว่าพวกเราต้องสู้กับศิษย์พี่หนิงจริงๆ”
ทางตะวันตกของทุ่งร้าง หน้ากองทัพต้าถัง
แม่ทัพเสี่ยนจื๋อหลางที่รับตำแหน่งแทนที่ซย่าโหวมาได้สองปีมองพวกชาวฮวงที่ล้มตายอยู่ทางทิศเหนือ คิดจะหาเงาร่างของหนิงเชวีย แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ หลังจากเงียบงันอยู่นานก็พลันหัวเราะขึ้นมา ยกมือขวาขึ้นบอกเป็นนัยให้ทหารม้านับหมื่นในกองทัพจัดแถวรอฟังคำสั่ง
รองแม่ทัพคนหนึ่งขมวดคิ้วพลางถามว่า
“จะถอยทัพหรือขอรับ”
เสี่ยนจื๋อหลางส่ายหน้า ยิ้มพลางกล่าวตอบ
“ต่อหน้าคนทั้งโลก ต้าถังเราจะถอยทัพไปฝ่ายเดียวได้อย่างไร แต่เหล่าทหารเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว ต้องพักผ่อนสักหน่อยก่อน”
การยิงธนูคือการต่อสู้ การไม่ยิงธนูก็คือการต่อสู้
หากคิดต่อสู้ด้วยการยิงธนูแล้วก็จำเป็นต้องใช้สติปัญญาตัดสินอย่างแม่นยำถึงจิตใจของคนในสนามรบ พิจารณาจากการตอบสนองของแคว้นต้าเหอและการเริ่มจัดแถวของกองทัพต้าถัง แสดงให้เห็นว่าหนิงเชวียตัดสินใจไม่ผิด
ทุ่งร้างเงียบสงบ กองทัพร่วมมองไปทางทิศเหนืออย่างกังวล ต้องการจะหาเงาร่างของหนิงเชวียให้เจอ ภายใต้การคุกคามของธนูเหล็ก การบุกไปข้างหน้ากลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าทิศเหนือของทุ่งร้างเต็มไปด้วยชาวฮวงที่บาดเจ็บหรือไม่ก็ตาย หนิงเชวียซ่อนตัวอยู่ในนั้นจึงยากต่อการถูกพบ ดังนั้นปัญหาที่เหลือให้กองทัพร่วมขบคิดในตอนนี้คือ…มันยังเหลือธนูกี่ดอก จะหามันเจอได้อย่างไร หรือจะบีบให้มันออกมาได้อย่างไร
ทันใดนั้นเสียงที่เคร่งขรึมกึกก้องก็ดังมาจากรถลากคันใหญ่ ม่านถูกเลิกขึ้นทำให้รั้วทองคำเปล่งประกาย รัศมีเรืองรองถ่ายทอดมาถึงหน้าแนวรบของชาวฮวงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
มีเรื่องมากมายที่ดูแล้วซับซ้อน ตอนลงมือทำก็ซับซ้อน มีน้อยคนนักที่สามารถมองเห็นใจความสำคัญที่ง่ายดายในเรื่องที่ซับซ้อนยุ่งเหยิง จากนั้นก็ใช้วิธีการรับมือที่ง่ายดายและถูกต้อง
เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพย่อมมีความสามารถเช่นนี้ มันรู้ว่าการหาหนิงเชวียในทุ่งร้างที่กว้างใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเราไม่เหมือนเหยี่ยวท้องขาวที่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วมองลงมายังโลกมนุษย์ ยิ่งไม่เหมือนเฮ่าเทียนที่สามารถมองเห็นรายละเอียดทุกอย่างของโลกมนุษย์ได้อย่างสงบนิ่งและมีเมตตาจากจุดสูงสุดของโลก
ในเมื่อไม่ง่ายที่จะหาหนิงเชวีย เช่นนั้นวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือทำให้หนิงเชวียออกมาเอง ดังนั้นเจ้านิกายจึงกล่าวประโยคหนึ่งไปทางรถม้าสีดำ
“บุตรีของหมิงหวัง ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว”
เสียงของเจ้านิกายให้ความรู้สึกสดใสเรืองรองยิ่ง เหมือนฉาบทาด้วยทองคำ และกังวานก้องไกลดั่งความกว้างใหญ่ของฟ้าดิน แต่พอถ่ายทอดไปยังผู้ฟังก็กลับรวมตัวกันอย่างฉับพลัน กลายเป็นเสียงฟ้าร้องที่เสมือนจริง
เสียงฟ้าร้องพุ่งออกไป ผ้าม่านปลิวสะบัดโดยไร้ลม รั้วสีทองข้างรถลากเปล่งประกายระยิบระยับ เสินกวนหลายคนกระอักเลือดล้มลงตายคาที่ ในทุ่งร้างปรากฏคลื่นพลังไร้รูปที่เป็นเส้นตรง ทำให้ดินที่มีกลิ่นคาวเลือดและกรวดทรายมากมายกระเด็นขึ้นมา ม้วนพุ่งโจมตีไปที่รถม้าสีดำ
เงาร่างสายหนึ่งถลันออกมาจากกลุ่มชาวฮวง มาถึงเบื้องหน้าซังซังด้วยความเร็วสูงสุด มันคือหนิงเชวีย มันดึงร่มดำออกมาจากด้านหลัง คิดจะกางออกเพื่อช่วยนางป้องกันคลื่นเสียงที่เหมือนฟ้าร้องนั่น
คลื่นเสียงรุนแรงมาก ลมพายุคำราม เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ร่มดำยังไม่ทันกางออกอย่างเต็มที่หนิงเชวียก็ถูกพัดถอยหลังไปสิบกว่าจั้ง ชุดสถานศึกษาสีดำเกิดรอยขาดเล็กๆ ขึ้นมากมาย ผิวหนังที่ทนทานก็เกิดรอยแผลขึ้นหลายรอย บางรอยเริ่มมีเลือดไหล
เจ้าดำมองฟ้าร้อง สดับคลื่นเสียงและสัมผัสลมพายุที่พุ่งเข้ามา มันยกกีบเท้าตะกุยขึ้นด้วยความตกใจ คิดจะหันหนีไปแต่ก็ตัดใจหนีไม่ลง จึงย่อขาหน้าลงเอาศีรษะซบลงดิน แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสียงฟ้าร้องมาถึงเบื้องหน้าซังซังแล้ว
ซังซังใบหน้าขาวซีด แต่ดวงตากลับสว่างพิกล นางไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถต้านเสียงฟ้าร้องที่น่ากลัวนี้ได้อย่างไร แต่ลึกๆ ในใจนางรู้ว่าตนเองไม่ควรกลัวเสียงฟ้าร้องนี้
อีกาสิบกว่าตัวที่บินวนอยู่เหนือศีรษะนางพลันพุ่งลงมา เสียงกาๆ ที่เย็นยะเยือกและเสียดหูอย่างไม่น่าฟังเข้าปะทะกับเสียงฟ้าร้องที่พัดพากรวดทรายมา อีกากระพือปีกไม่หยุด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวจะพัดลมที่รุนแรงสองสายซึ่งแฝงด้วยไอเย็นที่ร่างกายของซังซังแผ่ออกมาไปทางทิศใต้ ลมแรงที่หนาวเย็นจำนวนมากพัดจากปีกของฝูงอีกา เหมือนเชือกเส้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพันไว้ด้วยกัน สุดท้ายกลายเป็นเชือกใหญ่ที่แข็งแรงทนทานหนึ่งเส้น
เสียงฟ้าร้องปะทะกับลมหนาวตรงบริเวณห่างจากเบื้องหน้าซังซังหลายจั้ง
อีการ้องเสียงแหลมรุนแรงขึ้น ขนอีกาหลุดร่วงและปลิวอยู่ตลอดเวลา ปลิวไปติดอยู่ที่น้ำแข็งรอบกายซังซัง ดูแล้วเหมือนกระดาษสีขาวที่ถูกแต้มด้วยน้ำหมึก
ลมหนาวสงบลง
เสียงฟ้าร้องหายไป
ฝุ่นละอองหยุดฟุ้งกระจาย
อีกาสิบกว่าตัวบินกลับไปวนอยู่เหนือศีรษะซังซัง เพียงแต่ความเร็วในการบินช้ากว่าเดิมมาก ดูเหมือนเหนื่อยล้า เสียงฟ้าร้องของเจ้านิกายถูกอีกาสิบกว่าตัวทำให้สลายไป
หนิงเชวียลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ข้างกายซังซัง รู้สึกค่อนข้างสับสน ไม่ใช่เพราะร่องรอยของมันถูกเปิดเผย แต่เพราะการปะทะกันของอีกากับเสียงฟ้าร้องเป็นข้อพิสูจน์ถึงการคาดเดาของมัน
ในเมื่อซังซังคือบุตรีของหมิงหวัง เช่นนั้นหมิงหวังจะนิ่งเฉยดูบุตรีของตนตายได้อย่างไร
คนทั่วไปหวาดกลัวซังซังเพราะไอเย็นในร่างของนางจะทำให้โลกนี้พบหายนะ เช่นนั้นเหตุใดอาศรมเทพจึงต้องขนกองทัพมาใหญ่โตขนาดนี้ เพราะพวกมันกลัวอย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดพวกมันจึงต้องกลัว
เหล่ายอดฝีมือของนิกายพุทธและเต๋าน่าจะรู้ดีว่าพลังของซังซังธรรมดาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ป่วยหนักซังซังก็อ่อนแอมาก ง่ายที่จะถูกสังหาร ความกลัวของพวกมันอธิบายได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือว่าซังซังที่ตื่นแล้วจะมีพลังที่พวกมันกลัว ดังนั้นเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพจึงมาที่ทุ่งร้างด้วยตนเอง
การที่บุตรีของหมิงหวังมีพลังบางอย่างที่น่ากลัวไม่ใช่เรื่องที่ยากต่อการคาดคะเน เพียงแต่ที่ผ่านมาซังซังยังไม่ตื่นจึงไม่สามารถแสดงออกมาได้ จนกระทั่งนางป่วยหนัก ไอเย็นในร่างกายหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ละวันๆ ที่นางตื่นขึ้นพลังปริศนานั่นจะเข้ามาในร่างของนาง
ตอนอยู่แคว้นเยวี่ยหลุนหนิงเชวียก็เริ่มตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว แต่มันไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ทั้งยังคิดหาวิธีต่างๆ เพื่อรักษาซังซัง อยากจะกำจัดไอเย็นในร่างของนางให้หมดสิ้น แม้แต่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานมันก็ไม่อยากให้นางแสดงพลังปริศนาออกมา
เช่นเดียวกับที่ตัวนางเองเคยพูดไว้ เมื่อซังซังตื่นขึ้นมาจริงๆ นางจะกลายเป็นบุตรีของหมิงหวัง ซังซังในตอนนั้นยังจะใช่ซังซังในตอนนี้ไหม ยังจะใช่ซังซังไหม
“ใช่บุตรีของหมิงหวังจริงๆ”เสียงของเจ้านิกายดังขึ้นอีกครั้ง กึกก้องกังวานอยู่ในทุ่งร้าง เพียงแต่ตอนนี้เสียงของมันฟังดูเหนื่อยล้า ดูท่ามันคงใช้พลังจิตไปไม่น้อยกับเสียงฟ้าร้องเมื่อครู่
ทันทีที่เสียงพูดเงียบลง เงาร่างสูงใหญ่หลังม่านพลันสูงใหญ่กว่าเดิม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่คทาเทพซึ่งสูงเสียยิ่งกว่าเงาร่างนั้นปรากฏขึ้นในมือ
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังม่าน ใจของหนิงเชวียพลันหนาวสะท้าน มันไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกได้ว่าต้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากอย่างแน่นอน
ม่านบนรถลากคันมโหฬารเกิดการเผาไหม้ ไม่ใช่การเผาไหม้จริงๆ แต่เป็นแสงและความร้อนมากมายไหลซึมออกมาจากผ้าม่านราวสายน้ำ
เงาร่างสูงใหญ่หลังม่านก็เริ่มเผาไหม้เช่นกัน แสงและความร้อนมากมายแผ่กระจายออกมาจากขอบของเงาร่างนั้น หญ้าเขียวที่เหลือรอดอยู่ริมรถลากเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและลุกไหม้ในทันที จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลี
เสินกวนชุดแดงและองครักษ์เทพหลายสิบคนซึ่งกำลังเคลื่อนย้ายศพของหลัวเค่อตี๋และเสินกวนหลายคนอยู่ข้างรถลากรีบหนีออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว หลบแสงและความร้อนที่น่ากลัวเหล่านั้น แล้วจึงคุกเข่าไปทางรถลากคันมโหฬาร
แสงเป็นแสงเจิดจรัสที่บริสุทธิ์ ความร้อนเป็นความร้อนในระดับที่สูงสุด
แสงและความร้อนมากมายแผ่ออกมาจากร่างของเจ้านิกาย เงาร่างของมันคล้ายเปลี่ยนเป็นตะเกียงไฟ
คทาเทพยาวๆ ที่ถืออยู่ในมือเป็นเหมือนไส้ตะเกียง
แสงและความร้อนก่อเกิดการเผาไหม้ขึ้น การเผาไหม้ของตะเกียงถ่ายทอดไปยังไส้ตะเกียง แล้วปรากฏรูปลักษณ์เป็นเปลวเพลิง
เปลวเพลิงคือลำแสงลำหนึ่ง
ลำแสงที่บริสุทธิ์ลำหนึ่งปล่อยออกมาจากปลายคทาเทพ ทะลุหลังคาของรถลากคันมโหฬาร ส่องสว่างขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้าทิศใต้ไม่ได้ถูกเมฆดำทะมึนปกคลุม ยังคงเป็นสีน้ำเงินทอดไกลอย่างไร้ขอบเขต มีเมฆขาวลอยแซมอยู่มากมาย เมื่อลำแสงส่องขึ้นไปท้องฟ้าสีน้ำเงินพลันสว่างไปทั้งแถบในพริบตา
เมฆขาวที่อยู่บนฟ้าเมื่อลอยมาบดบังแสงสว่าง ตรงขอบพลันคล้ายถูกทาด้วยสีทอง แรงกดดันมหาศาลกดลงมาจากฟ้า ตกลงสู่ทุ่งร้าง
ตอนนี้เมฆบนท้องฟ้าเหลือเพียงสีเดียว หรือพูดอีกอย่างได้ว่าไม่เหลือสีอะไรเลย เหลือแต่แสงสว่าง
แสงสว่างเพียงอย่างเดียวให้ความรู้สึกที่เรียบง่าย ตอนนี้คนหลายแสนคนในทุ่งร้างต่างพากันแหงนหน้ามองท้องฟ้าแห่งแสงสว่าง รู้สึกว่าตนเองได้เห็นโลกที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของเฮ่าเทียน
โลกใบนั้นไม่ใช่เฮ่าเทียนที่แท้จริง เป็นเพียงการรับรู้และตอบสนองทางจิตใจ ความอุดมสมบูรณ์ที่ทุกคนมองเห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็นรูปธรรมจริงๆ แต่เป็นเงาแห่งอารมณ์ของคนหลากหลายประเภทภายใต้พลังอำนาจของเฮ่าเทียน
ภาพในตอนนี้เหนือล้ำกว่าจินตนาการทั้งหมดของผู้คนที่มีต่อโลกของการฝึกฌาน ถึงกับเหนือล้ำกว่าจินตนาการของผู้ฝึกฌานที่มีต่อด่านฌานสูงสุด นี่ไม่ใช่วิชาเทพแล้ว แต่เหมือนปาฏิหาริย์มากกว่า
คนของกองทัพร่วมหลายแสนคนคุกเข่าลงบนพื้นที่เย็นเฉียบ โขกศีรษะคารวะท้องฟ้าแห่งแสงสว่างไม่หยุด บูชาภาพที่มีปรากฏเฉพาะในคัมภีร์เทวตำนาน
สีหน้าของผู้คนแสดงความรู้สึกตกตะลึงแต่ยำเกรง ซาบซึ้งแต่หวาดกลัว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นศรัทธาและฮึกเหิม พวกมันที่ก่อนหน้านี้หวาดกลัวและกังวลใจเพราะการปรากฏตัวของบุตรีของหมิงหวังและธนูห้าดอกของหนิงเชวีย ตอนนี้เรียกความศรัทธาของตนกลับคืนมาได้แล้วจึงได้รับความกล้าอย่างมหาศาล
ในทางตรงข้าม เมื่อเมฆขาวบนฟ้ากลายเป็นแสงสว่างจนหมดแล้ว ขวัญกำลังใจของชาวฮวงก็ลดฮวบลง นักรบที่บาดเจ็บสาหัสใกล้ตายมองท้องฟ้าทางทิศใต้แล้วสีหน้าก็ปรากฏความสิ้นหวัง ไม่มีใครร้องเพลงอีกแล้ว แม้แต่สีหน้าของถังก็ยังเศร้าหมอง
“หรือนี่คือการเบิกนภาในตำนาน”หนิงเชวียมองรถลากคันมโหฬารตรงฐานของลำแสง มองเงาร่างสูงใหญ่ในรถลากแล้วถาม
“ไม่ใช่ ตอนนั้นที่อาจารย์เบิกนภาไม่ใช่แบบนี้”ซังซังตอบ จากนั้นก็ไออย่างเจ็บปวด
ลำแสงจากท้องฟ้าทางทิศใต้ที่ส่องลงมายังทุ่งร้างมีจำนวนมากที่ส่องลงมาใกล้ๆ ชาวฮวง แน่นอนว่าส่องลงมาบนร่างของนางด้วย
ควันสีขาวจางๆ จำนวนหนึ่งลอยออกมาจากเสื้อคลุมขนสัตว์ของนาง ดูแล้วเหมือนตัวนางกำลังไหม้ แต่ไม่มีกลิ่นไหม้เลย
นางมองแสงสว่างบนท้องฟ้าทางทิศใต้ ดวงตาฉายแววหวาดกลัว
หนิงเชวียเห็นคิ้วของนางที่ขมวดแน่นก็รู้สึกเศร้าใจ จึงยื่นมือออกไปหวังจะกอดนางเข้ามาในอ้อมอก
ตอนที่นิ้วมือมันสัมผัสกับร่างกายนาง บนเล็บพลันเกิดก้อนน้ำแข็ง
ความเจ็บปวดที่รุนแรงถ่ายทอดจากปลายนิ้วเข้าสู่ห้วงแห่งความนึกคิด หนิงเชวียครางเสียงทุ้มต่ำ มันพบว่าเพียงครู่เดียวมือขวาของตนก็ถูกน้ำแข็งปกคลุม และน้ำแข็งก็กำลังลุกลามขึ้นมายังแขน
ไอเย็นในร่างของซังซังตื่นแล้วอย่างสมบูรณ์ กำลังปลดปล่อยออกมาสู่ภายนอก
หนิงเชวียตอนนี้สมควรปล่อยมือ แต่มันไม่อยากปล่อย ลมปราณสุดไพศาลในร่างกายหมุนเวียนอย่างรวดเร็วกลายเป็นแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน ละลายชั้นน้ำแข็งที่มือและแขนไปในพริบตา จากนั้นมันก็กอดซังซังไว้ในอ้อมอก
เส้นผมของซังซังวาดไปโดนหน้ามัน ในพริบตาก็เกิดเส้นเกล็ดหิมะขึ้น
ริมฝีปากของมันถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง มันกล่าวเสียงสั่น
“ถ้าทรมานมากก็ไม่ต้องทำหรอก”
แสงสว่างบนฟ้าทางทิศใต้ส่องลงมาบนร่างของซังซัง เผากายและใจรวมถึงจิตวิญญาณของนาง ไอเย็นในร่างของนางก็กำลังแช่แข็งกายและใจรวมถึงจิตวิญญาณของนางเช่นกัน
กระบวนการนี้ทรมานยิ่ง
หนิงเชวียกอดนางไว้แน่น เกล็ดน้ำแข็งที่ปกคลุมร่างกายถูกลมปราณสุดไพศาลละลาย จากนั้นก็รวมตัวกันจนเย็นเสียดกระดูกอีกครั้ง มันทรมานมาก แต่มันรู้ว่านางทรมานยิ่งกว่า
ร่างกายของซังซังสั่นอย่างรุนแรง นางซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกหนิงเชวียเหมือนที่ผ่านๆ มา หวังจะได้พบความอบอุ่นและความปลอดภัยในนั้น
ทว่าแสงสว่างมีอยู่ทุกหนแห่ง นางไม่มีที่ให้หลบซ่อน ไอเย็นก็อยู่ในร่างของนาง นางหลบหนีไม่ได้ จึงได้แต่อยู่กึ่งกลางระหว่างความร้อนระอุและความหนาวเหน็บ รับการทรมานต่อไป
ซังซังร้องไห้ น้ำตาไหลลงมาจากใบหน้าสีคล้ำ หยดลงบนร่างของหนิงเชวีย เสื้อผ้าสีดำจับตัวแข็งทันที น้ำตาร่วงลงสู่พื้นกลายเป็นหยดน้ำแข็ง หยดน้ำแข็งแต่ละหยดกลมใส มีขนาดเท่ากันทุกหยด
เสียงเล็กละเอียดดังขึ้นในร่างกายนางเหมือนกระดูกกำลังถูกบดเป็นชิ้นเล็กๆ เหมือนเลือดเนื้อกำลังแยกออก ยิ่งเหมือนน้ำแข็งถูกบีบอัดไม่หยุด
ไอเย็นในร่างกายนางในที่สุดก็ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่
ลูกกลมสีดำสนิทกระจายออกไปรอบด้านโดยมีร่างกายของนางเป็นศูนย์กลาง หนิงเชวียที่กอดนางอยู่ถูกกระแทกกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้งในพริบตา บริเวณที่ไอเย็นกระจายไปถึงบริเวณนั้นจะจับตัวแข็ง ต้นหญ้าจะมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุม และพลังชีวิตใดๆ จะสูญสิ้น!
หนิงเชวียร่วงกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง กระอักเลือดออกมา เลือดแข็งตัวในทันที จนกระทั่งกระอักเลือดครั้งที่สามจึงค่อยมีไอร้อน
มันถูกไอเย็นกระแทกจนปลิว แต่ร่มดำยังอยู่ที่เดิม อยู่ที่เท้าของซังซัง
Related
Comments
