• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่านนิยาย สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่มที่ 27 ตอนที่ 2

    4 of 4หน้าถัดไป

    บทที่3ยี่สิบสามปีฟังเสียงจักจั่น

    ในโลกแห่งการฝึกฌาน ภูเขาหลังสถานศึกษาเป็นสถานที่ที่ลึกลับเป็นปริศนามากมาโดยตลอด ศิษย์พี่สามอวี๋เหลียนเป็นคนสงบเสงี่ยม มีไม่กี่คนที่รู้ถึงการมีตัวตนของนาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในอาศรมเทพ และรู้แต่เพียงว่านางคือยอดฝีมือด่านสู่พิสดาร

    คัมภีร์สวรรค์เล่มตะวันก็บันทึกไว้เช่นนี้ แต่เจ้านิกายรวมถึงบุคคลระดับสูงของอาศรมเทพต่างไม่เคยเชื่อความข้อนี้

    สถานศึกษาเป็นสถานที่อัศจรรย์ ศิษย์พี่ใหญ่เช้าสดับมรรคเย็นเข้าถึงมรรค ใช้เวลาหนึ่งวันข้ามสองด่านติดกันจากไร้ฉงนไปถึงรู้ชะตา ศิษย์พี่รองใช้เวลาจากแรกสัมผัสสิบสี่วันเข้าสู่ด่านไร้ฉงน ส่วนเฉินผีผีก็ใช้เพียงสิบเจ็ดวัน

    นิกายเต๋ามีผู้มีพรสวรรค์อยู่มากเช่นกัน เยี่ยซูอายุยังน้อยก็เข้าถึงด่านเป็นตาย เยี่ยหงอวี๋ไม่สนใจจะแข่งกับเฉินผีผีว่าใครจะเป็นผู้เข้าสู่ด่านรู้ชะตาด้วยอายุน้อยที่สุด แต่ใช้มรรคจิตที่ถ่องแท้และปณิธานที่แน่วแน่กดด่านฌานของตนให้อยู่ในด่านสู่พิสดารนานหลายปี จนถึงวินาทีที่ไร้ข้อสงสัยในใจจึงก้าวข้ามธรณีประตูนั้นอย่างง่ายดายที่บนหน้าผาหิมะ

    อวี๋เหลียนคือศิษย์พี่สามของสถานศึกษา เป็นรองเพียงศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง แม้ชั้นสองของสถานศึกษาจัดลำดับตามช่วงเวลาของการเข้าสำนัก แต่ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองเป็นบุคคลระดับใด ฝนฤดูสารทที่วัดลั่นเคอพวกมันสยบสองศิษย์สัญจรของนิกายพุทธและเต๋า บีบให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดินเทพกระบี่หลิ่วไป๋ไม่กล้าออกกระบี่ แล้วนางที่เป็นศิษย์น้องลำดับต่อจากพวกมันมีหรือจะอ่อนแอ

    ด้วยเหตุนี้พอเห็นอวี๋เหลียนเดินช้าๆ ขึ้นเขามา ทะลุด่านสู่พิสดารเข้าด่านรู้ชะตาในพริบตา เจ้านิกายจึงไม่แปลกใจ จนกระทั่งกระแสปราณของนางแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึง…ปลายสุดของด่านรู้ชะตา!

    สีหน้าของเจ้านิกายพลันเคร่งขรึม แต่น้ำเสียงยังคงน่าเกรงขามและมีความมั่นใจ เจ้านิกายมองดรุณีน้อยผู้งดงามที่อยู่นอกม่านแล้วเอ่ยว่า

    “เฮ่าเทียนประทานพลังให้ข้าเลี้ยงแกะบนโลกมนุษย์ ต่อหน้าแสงสว่างสุดประมาณ แม้เป็นศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า และแม้วันนี้เจ้าจะแสดงพลังที่แท้จริง แต่ก็เป็นได้เพียงเครื่องเซ่นไหว้เฮ่าเทียนเท่านั้น!

    นิกายเต๋าเคารพจอมปราชญ์ เห็นแก่หน้าอาจารย์เจ้า ส่งดวงตาค่ายกลมา แล้วข้าจะละเว้นชีวิตพวกเจ้าทั้งสามคน”

    อวี๋เหลียนหยิบสิ่งของที่ห่อผ้าไว้อย่างดีออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้บนม้านั่งยาวริมทางเดิน มองรถลากคันใหญ่แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า

    “แทงสองตาตัวเองให้บอด แล้วข้าจะเห็นแก่ความโง่เขลาของเจ้า ละเว้นชีวิตให้”

    เจ้านิกายตะลึงไปเล็กน้อย แล้วหัวเราะขึ้นมาในทันใด เสียงหัวเราะทำให้ผ้าม่านสั่นไหว กังวานไปในภูเขาหลังสถานศึกษาที่เงียบสงบ

    “เห็นตัวเล็กราวเด็กหญิงอย่างนี้ วาจากลับไม่เล็ก”

    เจ้านิกายหยุดหัวเราะแล้วตวาดว่า

    “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ามีความสามารถชนะข้า น่าขันยิ่งนัก!”

    น้ำเสียงของมันเย็นชาทว่ากังวานชัดเจน ประหนึ่งเสียงอสนีบาตยามเหมันต์

    อวี๋เหลียนยามนี้เดินถึงหน้ารถลากแล้ว มองเงาร่างสูงใหญ่ที่อยู่หลังม่านก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า

    “เจ้ายังเตี้ยกว่าข้าเสียอีก มีสิทธิ์อะไรมาเยาะเย้ยข้า”

    เห็นๆ อยู่ว่าเงาในรถลากสูงตระหง่านมาก แต่นางกลับบอกว่าเจ้านิกายเตี้ยกว่าตัวเอง นี่เป็นเพราะเหตุใด

    เจ้านิกายพลันเงียบไป จ้องมองดรุณีน้อยที่นอกม่าน เอ่ยถามช้าๆ ว่า

    “เจ้าเป็นใคร”

    น้ำเสียงของเจ้านิกายหนักแน่นเป็นพิเศษ ถึงขั้นมีความรู้สึกไม่สบายใจแฝงอยู่

    อวี๋เหลียนตอบอย่างเฉยเมยว่า

    “ข้ารู้มาตลอดว่าเจ้าคือใคร แต่แม้แต่ข้าคือใครเจ้าก็ยังไม่รู้ คนทั้งหลายพูดกันว่าเจ้าและข้าคือบุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งการฝึกฌาน บัดนี้ดูแล้วคำพูดนี้ช่างน่าขันเสียจริง”

    ภูเขาหลังสถานศึกษาที่เงียบสงบพลันเกิดเสียงจักจั่นร้อง

    ที่นี่ตลอดทั้งปีเป็นฤดูวสันต์ ไม่มีฤดูสารทที่แท้จริง พอเสียงจักจั่นดังขึ้นทั้งภูเขาก็เข้าสู่ฤดูสารท ลมฤดูสารทพัดมา ใบไม้เหลืองร่วงหล่นลง เพราะจักจั่นเหล่านี้มีชีวิตอยู่เพียงพ้นฤดูสารท จึงได้ชื่อจักจั่นฤดูสารท

    ศิษย์พี่ห้าและศิษย์พี่แปดที่อยู่ใต้ต้นสนค่อนข้างตกใจ แต่แล้วก็เข้าใจได้ในทันที จึงมองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นคารวะอวี๋เหลียนแล้วออกจากลานหน้าผาไปอย่างเงียบๆ

    เสียงของเจ้านิกายฟังดูกังวลมากยิ่งขึ้น ถามเสียงเย็นชาว่า

    “เจ้า…เป็นใครกันแน่!”

    มันได้ยินเสียงจักจั่นจึงพอเดาอะไรได้บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเชื่อ

    กระแสปราณของอวี๋เหลียนเย็นเยือกอย่างฉับพลัน บนใบหน้าที่เยาว์วัยสดใสน่ารักคล้ายปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ดูลึกลับและแฝงความหยิ่งทะนง

    นางเงยหน้ามองเงาร่างสูงใหญ่บนรถลากอยู่แท้ๆ แต่กลับเหมือนก้มหน้าดูมดตัวหนึ่ง เสียงที่เย็นยะเยือกลอดออกมาจากปากนาง

    “สยงชูโม่!เจ้าเตี้ยอัปลักษณ์ ยังไม่โผล่หัวออกมาอีก!”

    เสียงนางดังไปถึงที่ใดจะมีเสียงร้องของจักจั่นจำนวนมากดังประสานขึ้น

    รู้แล้ว รู้แล้ว*… ตกลงพวกมันรู้อะไรแล้ว

    ทั่วทั้งภูเขามีแต่เสียงจักจั่น จักจั่นฤดูสารทร้องระงมทำให้ใจผู้คนเต้นตึกตัก

    ลมฤดูสารทพัดแรงขึ้น ใบไม้เหลืองร่วงโรย ใบไม้มากมายร่วงใส่รถลากคันใหญ่ รถลากมีผ้าม่านหมื่นชั้น หลังสู้กับสวี่ซื่อแล้วยังไม่ได้เสียหายไปทั้งหมด ตอนทำลายมรรคาแห่งกระดานหมากก็ไม่ได้รับความเสียหาย ทว่าต่อหน้าใบไม้เหลืองที่ร่วงลงมากลับดูอ่อนแอ ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ปลิวออกไปจนหมด บนรถลากไม่มีสิ่งใดปิดกั้นอีก

    ตัวจริงของเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพมีไม่กี่คนที่เคยเห็น ดังนั้นมันจึงถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสองของบุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลก

    เวลานี้ตัวจริงของมันปรากฏตัวใต้แสงตะวันแล้ว ปรากฏอยู่ท่ามกลางเสียงจักจั่นทั่วภูเขา

    บนรถลากปรากฏพรตเฒ่าที่หน้าตาธรรมดาดาษดื่น แต่พรตเฒ่าคนนี้มีลักษณะพิเศษคือเตี้ยมาก เตี้ยยิ่งกว่าเด็กชายแปดเก้าขวบ และผอมมากด้วย ผอมยิ่งกว่าชาวบ้านผู้ประสบทุพภิกขภัย ดูเหมือนหุ่นกระบอกที่ประกอบขึ้นจากท่อนฟืน ทั้งน่าสงสารและน่าหัวร่อ นี่คือรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพ

    เจ้านิกายไม่ชินกับแสงแดด สีหน้ามันดูหวาดกลัว เมื่อพบว่าไม่มีม่านหมื่นชั้นปิดบังร่างกายแล้วเงาร่างสูงใหญ่ก็หายไป มันจึงร้อนรนกระวนกระวาย เหมือนหญิงสาวที่ถูกถอดเสื้อผ้าออกหมดจนเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่รู้ควรวางสองมือไว้ตรงไหน

    ห่านขาวบนกังหันน้ำหลังโรงตีเหล็กเห็นภาพนี้แล้วก็ร้องห่านๆ ไม่หยุด

    และท่ามกลางเสียงจักจั่นทั่วภูเขา กระแสปราณที่แผ่ออกมาจากตัวอวี๋เหลียนยังแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอีก ข้ามผ่านด่านทั้งห้าในชั่วพริบตา ทั่วบริเวณสว่างวาบ!

    ในที่สุดเจ้านิกายก็ได้สติ มองดรุณีน้อยหน้ารถลาก เสียงคำรามด้วยโทสะดังลอดริมฝีปากแห้งแตกออกมา

    “หลินอู้!

    จักจั่นยี่สิบสามวรรษ!

    ที่แท้เจ้าซ่อนตัวอยู่ในสถานศึกษา!

    ที่แท้เจ้ากลายเป็นสตรี!”

    ภูเขาหลังสถานศึกษามีศิษย์สิบสามคน คนที่ไม่โดดเด่นที่สุดคืออวี๋เหลียน ส่วนศิษย์คนอื่นๆ เป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับสุดยอดในด้านของตน มีเพียงนางที่เหมือนไม่มีความโดดเด่นในด้านใด น้อยครั้งมากที่นางจะพูดคุยกับคนอื่น และน้อยครั้งมากที่จะไปอยู่บนภูเขาด้านหลัง วันๆ นั่งอยู่แต่ที่ริมหน้าต่างฝั่งตะวันออกชั้นสองของหอจิ้วซู คัดตัวหนังสืออยู่เงียบๆ ราวกับว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องอื่นที่น่าสนใจ จึงยากที่ผู้อื่นจะสนใจนาง

    อย่าว่าแต่คนในโลกแห่งการฝึกฌาน แม้แต่หนิงเชวียและศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ บางครั้งยังลืมว่าตนมีศิษย์พี่คนนี้อยู่ เพราะนางเงียบมากจริงๆ จึงง่ายต่อการถูกลืม

    จนกระทั่งถึงคราวคับขัน ศิษย์พี่ใหญ่จัดการให้ศิษย์สถานศึกษาไปตามที่ต่างๆ เพื่อทำงานที่พวกมันสมควรทำ แต่ทิ้งนางไว้ที่สถานศึกษา ไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่กังวลว่าสถานศึกษาจะถูกโจมตี และไม่ได้คิดแบบหนิงเชวียกับพระอัครมเหสีตอนที่ทิ้งเมืองเฮ่อหลัน แต่มันเชื่อว่าขอแค่ศิษย์น้องสามอยู่ที่สถานศึกษา สถานศึกษาจะต้องปลอดภัย

    เพราะนางเคยใช้ชื่ออื่น

    นางเคยมีชื่อว่าหลินอู้

    นางคือจักจั่นยี่สิบสามวรรษ

    จอมปราชญ์เคยเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ศิษย์ทุกคนฟัง

    ในดินแดนสุดขอบตะวันตกที่แห้งแล้งมีจักจั่นชนิดหนึ่ง จักจั่นชนิดนี้ซ่อนตัวอยู่ในโคลนยี่สิบสามปี รอให้น้ำแข็งบนภูเขาหิมะละลายเป็นสายน้ำจึงค่อยตื่นขึ้นมาเพื่ออาบน้ำโคลน ตากปีกให้แห้งกลางลมหนาวแล้วผงาดบินสู่เวหา

    เฉินผีผีฟังจนเคลิ้ม ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองยิ้มน้อยๆ ไม่พูดสิ่งใด ตอนนั้นอวี๋เหลียนก็อยู่ด้วย ตกเย็นนางต้มบะหมี่ผักชิงไช่ให้อาจารย์ชามหนึ่ง

     

    หลินอู้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของพรรคมารในรอบร้อยปี เหลียนเซิงต้าซือตั้งใจจะให้มันรับสืบทอดบาตรและจีวรของตน แต่บิดาของมันตายด้วยน้ำมือของเหลียนเซิง มันจึงปฏิเสธโอกาสนี้

    มันเลือกเส้นทางที่ไม่มีผู้ใดเคยเดิน

    มันเลือกฝึกวิชาขั้นสุดยอดของพรรคมารที่หลายยุคหลายสมัยไม่มีผู้ใดเคยฝึกสำเร็จ

    มันเป็นประมุขที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคมาร และเป็นประมุขคนสุดท้าย

    มันรับศิษย์เพียงไม่กี่คน ทุกคนล้วนอายุมากกว่ามัน

    มันยังคงฝึกฌานต่อไป

    จนถึงสุดท้ายมันฝึกสำเร็จแล้วหายตัวไป จากนั้นเป็นต้นมามันก็กลายเป็นบุคคลที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งการฝึกฌาน

    ปีนั้น จอมปราชญ์พบเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นผิวขาวราวหยก ใบหน้าน่ารัก แต่แววตากลับสงบนิ่งอย่างที่สุด

    มีเพียงจอมปราชญ์ที่มองเห็นความเศร้าและความหวาดกลัวในส่วนลึกของดวงตานาง

    “มีสิ่งใดน่ากลัวกัน”

    จอมปราชญ์ถามเด็กหญิง

    “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นรูปลักษณ์ภายนอก เปลือกนี้สำหรับเจ้าแล้วสำคัญมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

    เด็กหญิงเข้าใจแล้ว กุมสองมือยื่นไปข้างหน้า คารวะจอมปราชญ์ ท่วงท่าสง่างาม

    จอมปราชญ์ส่ายหน้า

    เด็กหญิงปล่อยสองมือลงข้างเอวอย่างเงอะงะ แล้วย่อเข่าเล็กน้อยคารวะ ดูเขินอายมาก

    จอมปราชญ์พยักหน้าอย่างพอใจ

    เวลานั้นพรรคมารล่มสลาย อาศรมเทพตามล่าเศษเดนพรรคมารไปทุกหนแห่ง เด็กหญิงก็คือเด็กหญิง นางไม่มีกำลังจะปกป้องตนเอง นางไม่รู้ว่าจะผ่านยี่สิบสามปีนับจากนี้ไปได้อย่างไร แต่นางกลับไม่ได้ขอร้องจอมปราชญ์เพราะนางมีความทะนงตน

    จอมปราชญ์ไม่รอให้นางเอ่ยปากก็พูดขึ้นว่า

    “ตามข้ากลับสถานศึกษาเถอะ”

    จอมปราชญ์พูดอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่านางคือคนของสถานศึกษาอยู่แล้ว

    ตั้งแต่วันนั้นจอมปราชญ์ก็มีลูกศิษย์ที่เป็นหญิง พอมีลูกศิษย์มาเข้าสำนักมากขึ้น นางก็เริ่มถูกเรียกว่าศิษย์พี่สาม

    หลายปีต่อมาสถานศึกษามีเจี้ยวโซ่วหญิงที่ชื่ออวี๋เหลียน

    เจี้ยวโซ่วหญิงมักนั่งที่ริมหน้าต่างฝั่งตะวันออกของหอจิ้วซูคัดตัวอักษรอย่างเงียบๆ นางนั่งอยู่อย่างนั้นมาหลายปี

    เสียงจักจั่นนอกหน้าต่างดังแว่วเป็นระยะ

    นางช่างไม่สะดุดตา ไม่ถามไถ่เรื่องราวในโลก เรื่องราวในโลกก็ไม่มารบกวนนาง

    นางคือจักจั่นยี่สิบสามวรรษในตำนาน หลินอู้

    หมอกหนาดั่งป่าทึบแน่น*

     

    เสียงคำรามด้วยความโกรธระคนตื่นตระหนกของเจ้านิกายกังวานอยู่ในภูเขาหลังสถานศึกษา ประหนึ่งเสียงอสนีบาตยามเหมันต์ แต่ไม่อาจข่มเสียงร้องของจักจั่นฤดูสารท

    มันมองดรุณีน้อยที่งดงามผู้นั้นพลางกล่าวอย่างคาดไม่ถึงว่า

    “เจ้ากลายเป็นสตรีได้อย่างไร”

    อวี๋เหลียนเอ่ยเยาะว่า

    “เฮ่าเทียนยังกลายเป็นสตรีได้ ไยข้าจะทำไม่ได้ ถ้าแม้แต่รูปกายภายนอกยังมองไม่ทะลุ ข้าจะฝึกวิชาจักจั่นยี่สิบสามวรรษได้อย่างไร ถ้าตอนนี้เยี่ยซูยืนอยู่ตรงหน้าข้า มันคงไม่ถามคำถามโง่เขลาทำนองนี้ ด่านเป็นตายยังเข้าถึงได้ ย่อมเข้าใจรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้”

    เจ้านิกายยังมิอาจข่มอาการแตกตื่นให้สงบลง

    “แม้เจ้าเป็นเศษเดนพรรคมาร แต่เป็นถึงประมุขของนิกายหนึ่ง มีฐานะสูงเพียงไหนแล้ว เจ้ากลับยอมเปลี่ยนสำนัก กราบคนนอกเป็นอาจารย์ ช่างไร้ยางอายจริงๆ!”

    อวี๋เหลียนเงยหน้ามองฟ้าพลางเอ่ยว่า

    “จอมปราชญ์เป็นอาจารย์ของผู้คนมานับพันนับหมื่นสมัย สำมะหาอะไรกับข้าแค่คนเดียว”

    เจ้านิกายจ้องมองอวี๋เหลียน กล่าวเสียงเย็นชาว่า

    “เจ้าเป็นประมุขของนิกายหนึ่ง ยังต้องให้ศิษย์น้องกับเดียรัจฉานพวกนั้นลงมือก่อน หรือนี่คือหลักการปฏิบัติตนที่จอมปราชญ์สอนสั่ง”

    อวี๋เหลียนเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า

    “แม้เจ้าสู้ข้าไม่ได้ แต่การฆ่าเจ้าก็ต้องสิ้นเปลืองพลัง ขอแค่ตัดกำลังเจ้าได้แม้สักส่วนหนึ่งก็ถือว่าดี”

    เจ้านิกายโกรธจัดแต่แสร้งยิ้ม เอ่ยว่า

    “ศิษย์น้องสองคนของเจ้าเกือบต้องตาย เพียงแค่ต้องการตัดกำลังข้าเจ้าจึงยืนดูอย่างเย็นชา ช่างเจ้าเล่ห์และเลือดเย็นนัก หากจอมปราชญ์รู้ว่าเจ้าทำเช่นนี้คงสำนึกเสียใจที่รับเจ้าเป็นศิษย์”

    อวี๋เหลียนโต้ตอบว่า

    “ข้าเป็นประมุขของนิกายหมิง ความเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว จอมปราชญ์ในเมื่อยอมรับข้าเป็นศิษย์จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนเช่นไร”

    เจ้านิกายตวาดว่า

    “เช่นนั้นวันนี้ข้าจะกวาดเก็บเศษเดนพรรคมารแทนเฮ่าเทียน!”

    แม้คู่ต่อสู้ของนางในตอนนี้คือยอดฝีมือสูงสุดของอาศรมเทพ แต่สีหน้าของอวี๋เหลียนกลับเรียบเฉย ความเรียบเฉยนี้สำหรับคู่ต่อสู้แล้วถือเป็นการหยามหมิ่นโดยไม่ปิดบังรูปแบบหนึ่ง

    “สยงชูโม่ หลายสิบปีก่อนเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ตอนนี้เจ้ายิ่งไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”

    นางมองแขนที่เหมือนท่อนไม้แห้งของเจ้านิกาย ไล่ลงไปจนถึงข้อมือที่ขาดหายไป กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า

    “ยังยืนยันคำเดิม ถ้าเจ้าแทงตาตัวเองให้บอดทั้งสองข้าง ข้าจะปล่อยเจ้าออกจากสถานศึกษา”

    มือซ้ายของเจ้านิกายถูกแม่ทัพใหญ่สวี่ซื่อตัดขาดที่เหยาซาน

    จากเหยาซานมาถึงภูเขาหลังสถานศึกษา มันต่อสู้อย่างยากลำบากไปสองรอบ จากนั้นต้องมาเจอกับจักจั่นยี่สิบสามวรรษแห่งพรรคมารที่ลึกล้ำสุดหยั่งคาด ทั้งติดตามจอมปราชญ์ฝึกฌานมานานหลายปี…แต่มันยังคงมั่นใจ!

    สีหน้าของเจ้านิกายขึงขังขึ้นมาอย่างฉับพลัน ยกหมัดขวาขึ้น สูดลมหายใจลึกแล้วต่อยออกไป

    มันผอมมากและเตี้ยมาก หมัดของมันจึงเล็กมากด้วย เห็นแล้วออกจะน่าขัน แต่หมัดที่ฆ่าสวี่ซื่อตายและสยบอาศรมเทพมานานปี ต่อให้ดูน่าขันเพียงไรก็ไม่น่าขัน

    หมัดนี้น่ากลัวมาก

    ภายนอกดูเป็นหมัดที่ธรรมดาไม่แปลกประหลาด แต่คล้ายจะผนึกรวมลมหายใจแห่งฟ้าดินทั้งหมดของภูเขาหลังสถานศึกษาเข้ามา ซอกนิ้วแผ่แสงเจิดจรัสที่บริสุทธิ์ทำให้ดูเหมือนกำลังกำดวงตะวันไว้!

    อวี๋เหลียนเห็นหมัดนั้นแล้วพลันก้มหน้าลง เสียงจักจั่นดังยิ่งขึ้น แต่ละเสียงเศร้ากำสรด

    ยอดฝีมือที่ลึกลับที่สุดสองคนในโลกแห่งการฝึกฌาน ในที่สุดก็มาพบและต่อสู้กัน

    เจตนารมณ์แห่งหมัดดุจเพลิงพิโรธ

    น้ำหนักหมัดดุจภูผา

    อานุภาพหมัดดุจมหาธารา

    พื้นศิลาบนทางขึ้นเขาถูกลอกขึ้นเหมือนแผ่นกระดาษ ปลิวไปไกล ต้นไม้ล้มระเนระนาด ต้นที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากเพียงคดงอ ทว่าต้นไม้ใหญ่จำนวนมากหักโค่นลง

    อวี๋เหลียนไม่ได้ถูกโจมตี ร่างของนางเหมือนปีกจักจั่น เหินลอยตามลมอยู่ในป่า ประหนึ่งว่ารวมเป็นหนึ่งกับลมหายใจแห่งฟ้าดินอย่างแท้จริง หาไม่พบร่องรอยของนาง

    เสียงร้องของจักจั่นฤดูสารทยังคงดังต่อไป ใบไม้เหลืองนับพันร่วงโรยลงมา

    ชุดของเจ้านิกายปรากฏรอยแหว่งนับพันในชั่วพริบตา จากนั้นผิวของมันก็เปล่งแสงสว่างชั้นบางๆ ใบไม้เหลืองพวกนั้นกลายเป็นผุยผงในทันที

    ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของอาศรมเทพผู้นี้ในที่สุดก็สงบนิ่งลง มันมองป่าเขาที่เต็มไปด้วยเศษหินต้นไม้หักพลางตวาดว่า

    “จักจั่นยี่สิบสามวรรษ!เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าก้าวข้ามด่านทั้งห้าแล้วจะไร้คู่ต่อสู้

    ตอนนี้อย่างมากเจ้าก็อยู่ในด่านอสูรฟ้า ในเมื่อยังไปไม่ถึงด่านอมตะ เจ้าจะต้านทานแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนได้อย่างไร”

    มันชูสองแขนขึ้นช้าๆ ฝ่ามือขวาที่ยังเหลืออยู่แบขึ้นฟ้า สีหน้าแน่วแน่มั่นคง ระเบิดเสียงปานอสนีบาตออกไปรอบทิศและขึ้นไปบนฟ้า

    “ขอเฮ่าเทียนประทานพลังแก่ข้า!”

    เสียงสนั่นก้องดังอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ท้องฟ้าเกิดการตอบสนอง อาทิตย์ยามสนธยาทางทิศตะวันตกพลันสว่างไสวขึ้นในพริบตา ไม่ได้เป็นสีแดงดูอบอุ่นอีก แต่ดูสูงส่งให้ความรู้สึกน่าเคารพยำเกรง

    พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลขุมหนึ่งทะลุผ่านเมฆตรงขอบฟ้า ทะลุผ่านค่ายกลประตูเมฆที่ปกคลุมภูเขาหลังสถานศึกษา เข้ามาสู่ร่างของเจ้านิกายพร้อมกับแสงตะวันอันร้อนแรง

    ร่างของเจ้านิกายที่เตี้ยผอมกลับสูงตระหง่านในพริบตา

    ในร่างของมันคล้ายมีพลังที่น่ากลัวใกล้เคียงกับพลังแห่งฟ้า

    เพียงชั่วอึดใจใบไม้เหลืองที่ปลิดโปรยก็ถูกพัดลอยขึ้นไปไม่กล้าร่วงลงมาอีก ชั่วพริบตานั้นแม้แต่เสียงจักจั่นทั่วภูเขาก็ดูเหมือนเบาลง

    เจ้านิกายใช้วิชาเทพเบิกนภาแล้ว

    เงาร่างของอวี๋เหลียนปรากฏขึ้นที่นอกป่า ใบหน้าที่สดใสของนางในที่สุดก็เคร่งขรึมขึ้น การต่อสู้เหนือด่านทั้งห้าแม้นางมีความมั่นใจ แต่ไม่มีประสบการณ์

    ที่จริงแล้วหลายปีมานี้การต่อสู้ของเหล่ายอดฝีมือที่อยู่เหนือด่านทั้งห้า นอกจากด่านไร้ระยะแล้วคนอื่นๆ ล้วนกลับคืนสู่เฮ่าเทียนไปหมด นั่นคือตายแล้วนั่นเอง

    นางมองลำแสงที่ฟาดลงมาจากทิศตะวันตกแล้วพลันยิ้ม มือขวายื่นออกไปราวกับหยิบพู่กันด้ามหนึ่งขึ้นมา นางใช้พู่กันที่ไม่มีตัวตนด้ามนี้เขียนตัวอักษรจำนวนหนึ่งขึ้นกลางอากาศ

    สงบจิต รวมสมาธิ ไม่สนใจเรื่องทางโลก ไม่ถามไถ่วิถีฟ้า เพียงจมอยู่ในโลกของตัวเอง

    นี่ก็คือโลกของตัวเจ้าเอง

    จอมปราชญ์เคยบอกกับนางเช่นนี้

    กลางอากาศราวกับว่ามีปีกจักจั่นโปร่งใสปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ลำแสงที่ฟาดลงมาจากทางตะวันตกฟาดลงบนปีกจักจั่นนั้น ลำแสงสะท้อนออกไป ส่วนใหญ่กระจายลงสู่พื้นดิน

    นี่คือโลกของอวี๋เหลียน นางปฏิเสธการเข้ามาของแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียน

    “โง่เขลาอวดดียิ่งนัก!คิดว่าสร้างโลกของตนขึ้นมาแล้วจะต้านแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนได้รึ อย่าลืมว่านี่คือโลกของเฮ่าเทียน โลกของเจ้าถึงอย่างไรก็อยู่ต่ำกว่าเฮ่าเทียน!”

    เจ้านิกายตวาดด้วยโทสะแล้วรับแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนต่อไป

    อวี๋เหลียนมองมันพลางเอ่ยว่า

    “เจ้าโง่ ตอนนี้เฮ่าเทียนสารเลวกำลังสู้กับอาจารย์ ตัวมันยังแทบเอาตัวไม่รอด ยังจะห่วงความเป็นความตายของเจ้าได้ตลอดหรือ อย่าลืมว่าในสายตาของมัน เจ้าต้อยต่ำยิ่งกว่าสุนัข”

    ขณะพูดมือขวาของนางปล่อยพู่กัน แล้วกางนิ้วมือทั้งห้าออกดั่งดอกเบญจมาศยามฤดูสารทแย้มผลิ กระแสปราณอ่อนจางแผ่ออกจากปลายนิ้วของนางปกคลุมไปทั่วภูเขาหลังสถานศึกษา

    ต้นไม้ทุกต้นเริ่มสั่น ใบไม้ทุกใบคล้ายมีชีวิตขึ้นมา

    ใบไม้หนึ่งใบคือจักจั่นหนึ่งตัว

    เจ้านิกายเดิมทีไม่เชื่อคำพูดของนาง ทว่าจู่ๆ ก็พบว่าดวงตะวันทางทิศตะวันตกหม่นหมองลงจริงๆ กลับมาเป็นสีแดงอบอุ่นอ่อนโยนดังเดิม อดหนาวสะท้านมิได้!

    มันคำรามออกมาอย่างคั่งแค้น รูปร่างหดกลับลง เตรียมจะหนี แต่อวี๋เหลียนมีหรือจะให้โอกาสแบบนี้แก่มัน

    เจ้านิกายอยู่บนภูเขาหลังสถานศึกษาท่ามกลางจักจั่นนับพันนับหมื่นตัว ไม่ว่ามันจะรวดเร็วอย่างไรก็ไม่เร็วกว่าการกระพือปีกของจักจั่น มันไม่มีทางออกจากโลกของอวี๋เหลียนได้

    จักจั่นนับพันนับหมื่นบินเข้ามา ส่งเสียงร้องดังแสบแก้วหู จากนั้นปกคลุมทั้งร่างและทั้งใบหน้าของมัน เบียดเสียดกันแน่นไปหมด ดูสยดสยองยิ่งนัก

    ในจำนวนนั้นมีจักจั่นตัวหนึ่งกระพือปีกเบาๆ…ตาขวาของเจ้านิกายบอดแล้ว

    จักจั่นสิบกว่าตัวบินฉวัดเฉวียน…มือขวาของเจ้านิกายขาดแล้ว

    เสียงร้องโหยหวนดังลอดออกมาจากสุมทุมจักจั่น

    มือซ้ายของมันถูกสวี่ซื่อตัดขาดที่เหยาซาน

    มือขวาของมันถูกตัดขาดที่ภูเขาหลังสถานศึกษา

    มือทั้งสองของมันด้วนแล้ว

    มันโอบสองแขนเข้ามา แสงสว่างที่มันกำไว้ในมือและแสงเจิดจรัสของเฮ่าเทียนที่มันรับเข้ามาในตัวก่อนหน้านี้ถูกถ่ายเทเข้าไปในอ้อมกอดทั้งหมด เบื้องหน้าของมันสว่างจ้าขึ้น ราวกับว่ามีตะวันอีกดวงถือกำเนิด

    ตะวันระเบิดออก!

    จักจั่นนับพันนับหมื่นกรีดร้องบินกระจายออกไป จักจั่นตัวหนึ่งบินฉวัดเฉวียนกลับมา

    อาศัยจังหวะนี้เจ้านิกายที่โลหิตโซมกายกลิ้งตัวหนีเหมือนสุนัขจรจัด อวี๋เหลียนปรากฏตัวอีกครั้ง มุมปากมีเลือดไหลและรอยยิ้มกว้าง

    การต่อสู้ระดับสุดยอดระหว่างนิกายเต๋าและพรรคมาร

    เจ้านิกายแห่งอาศรมเทพมือขาดตาบอด จุดเสวี่ยซานถูกทำลายย่อยยับ แม้วิชาเทพของนิกายเต๋าร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่มีทางรักษาให้หายดีได้ มันกลายเป็นคนพิการแล้ว

    ประมุขพรรคมารจักจั่นยี่สิบสามวรรษได้ชัยชนะอย่างงดงาม

    นางเป็นศิษย์หญิงคนแรกของจอมปราชญ์

    สถานศึกษายังคงเป็นหนึ่งในปฐพี

     

    4 of 4หน้าถัดไป

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook