คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง
ทดลองอ่าน คดีปีศาจแห่งเมืองไคเฟิง เล่ม 1 ตอนที่ 1
บทที่ 2
ยากนักที่จะมีวันใดไม่ได้เข้าเวร
จั่นเจาเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองไปดื่มชากับท่านกงซุนที่โรงน้ำชาที่อยู่ใกล้กับศาลไคเฟิงมากที่สุด หลงจู๊โรงน้ำชาเจอใต้เท้าขุนนาง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะเกรงอกเกรงใจเพียงใด รีบค้อมเอวเอ่ยปากไม่หยุด “เชิญข้างบน เชิญข้างบนขอรับ”
ทั้งสองลงนั่งยังโต๊ะที่ติดหน้าต่าง ดื่มชาขาวชั้นเลิศ ชิมขนมและผลไม้แห้ง นั่งรับลมเย็นๆ กงซุนเช่อรู้สึกสบายอกสบายใจจนเกิดอารมณ์แห่งกวี คิดจะร่ายออกมาสักสองประโยค ทันใดนั้นเด็กรับใช้ก็เดินผ่านมาทางด้านข้าง
จั่นเจาเรียกตัวเด็กรับใช้ไว้แล้วเอ่ยถาม “ระยะนี้ทางแถบนี้สงบสุขดีหรือไม่ คงไม่มีเรื่องผิดกฎหมายอะไรกระมัง”
กงซุนเช่อย่นหัวคิ้ว องครักษ์จั่นผู้นี้ตกลงกันแล้ววันนี้จะออกมาพักผ่อนหย่อนอารมณ์ สนทนาเพียงเรื่องสัพเพเหระไม่พูดเรื่องงานการ เหตุใดจึงทำผิดกฎ
เด็กรับใช้สะบัดผ้าซับเหงื่อทีหนึ่งพลางยิ้มจนปากหุบไม่ลง “ใต้เท้าจั่น ดูท่านพูดเข้า ที่นี่คือที่ไหนหรือ ออกจากประตูก็มองเห็นศาลไคเฟิง ใครกินดีเสือหัวใจหมีเข้าไปถึงได้กล้าทำเรื่องผิดกฎหมายแถวนี้ ถ้าพูดตามภาษางิ้วก็ต้องบอกว่าไม่มีคนเก็บของที่ผู้อื่นทำหล่นบนท้องถนน กลางคืนนอนก็ไม่ต้องลงดาลประตูบ้าน…”
จั่นเจาอมยิ้ม กงซุนเช่อลูบเคราแพะของตนทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ความจริงแล้วข้างในเบิกบานยิ่ง รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก เป็นเกียรติยิ่งนัก!
คล้ายสวรรค์เจตนาจะตบหน้าพวกเขา ในเวลานี้เอง ที่ด้านล่างห่างออกไปไม่ไกลพลันมีคนร้องตะโกนขึ้น “เงินของข้า! เงินของข้าหายไปแล้ว!”
มีการขโมยเกิดขึ้นแล้ว
จั่นเจาชะโงกตัวมองไปข้างล่าง ตรงบริเวณหนึ่งของถนนมีคนกลุ่มใหญ่เข้าไปมุงแล้ว บุรุษท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้หนึ่งกำลังล้วงๆ คลำๆ ในอกเสื้อของตนอย่างร้อนรน “มารดาข้าล้มป่วยกะทันหัน นี่เป็นเงินที่จะไปเจียดยา จะทำอย่างไรดี!”
ตอนแรกจั่นเจาจะลงไปตรวจสอบดู แต่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาถึงแล้ว เป็นงานในหน้าที่ของผู้อื่น เขายื่นมือยาวเกินไปก็ดูจะไม่เหมาะจึงนั่งกลับลงมา พอเงยหน้าก็เห็นเด็กรับใช้ผู้นั้นยังไม่ไป ทั้งยังมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ใต้เท้าจั่น ท่านดูนี่จะต้องเป็นหัวขโมยจากต่างถิ่นเป็นแน่ เพิ่งมาถึง ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม…”
ที่พูดมาความจริงก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน หัวขโมยในเมืองคงไม่กล้าทำผิดกฎหมายบริเวณรอบศาลไคเฟิงจริงๆ
จั่นเจายิ้มๆ ขณะคิดจะพูดอะไรก็มีเสียงร้องโวยวายดังมาจากท้ายถนนอีก “ตั๋วเงินของข้า! ตั๋วเงินของข้าหายไปแล้ว!”
เพียงเวลาชั่วประเดี๋ยวเดียว หัวถนนท้ายถนนมีคดีลักทรัพย์เกิดขึ้นสองคดี ถ้าเป็นหัวขโมยธรรมดาได้เงินมาแล้วต้องหนีไปจึงจะเป็นแผนที่ดี ไหนเลยยังจะกล้าโอ้เอ้อยู่ที่เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็มาถึงแล้ว
ดูจากสภาพการณ์แล้วคงไม่ใช่บุคคลธรรมดา อีกทั้งจะต้องยังไม่ได้ไปไหนไกลแน่นอน
จั่นเจากระซิบบอกกงซุนเช่อ “ท่านกงซุนนั่งก่อน ข้าไปไม่นานก็มา”
เขาเร่งฝีเท้าลงไปด้านล่าง มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งแล้วแทรกตัวเข้าไปกลางฝูงชนเงียบๆ เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุด ดูคล้ายไม่ใส่ใจอะไร แต่สายตาคมเฉียบ แทบไม่ปล่อยให้ใครที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรอดพ้นสายตาไปได้แม้แต่เงาด้านหลัง
มาถึงหน้าหอสุราไท่ไป๋ซึ่งกำลังลงสุราใหม่ เถ้าแก่หน้าตาอวบอิ่มมีราศีกำลังดูคนงานขนถ่ายสินค้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีมือข้างหนึ่งกำลังยื่นมายังห่วงหยกขาวมันแพะ*ที่ห้อยอยู่ตรงเอวอย่างรวดเร็ว
จั่นเจารีบโฉบเข้าไป เดินเฉียดไหล่เถ้าแก่ร้านแล้วคว้าข้อมือคนผู้นั้นเอาไว้อย่างว่องไวก่อนที่มือขโมยข้างนั้นจะแตะถูกห่วงหยก จากนั้นก็ลากตัวไปที่ด้านข้าง…
เถ้าแก่ที่ไม่รู้สึกรู้สาผู้นั้นยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เอามือปัดๆ หัวไหล่อย่างไม่พอใจพลางบ่นพึมพำ “เดินมาชนคนได้อย่างไรกัน”
ข้อมือที่อยู่ในมือนวลเนียน นุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก เป็นอิสตรีหรือ พอก้มลงมองใบหน้าคนผู้นั้น จั่นเจาพลันหัวสมองมึนงง รีบปล่อยมือทันที
นี่…นี่คือ…
หลังพิงภูผาเขียว สายน้ำไหลคดเคี้ยว เจ้าบ้านไม่นำทาง ไม่ข้ามสะพานตวนมู่
นี่ไม่ใช่เจ้าสำนักซี่ฮวาหลิว แม่นางตวนมู่ผู้นั้นหรอกหรือ
ตวนมู่ชุ่ยขมวดหัวคิ้ว นวดๆ ข้อมือ มองหน้าเขาอย่างไม่พอใจวาบหนึ่ง
แม่นางผู้นี้ในบ้านมีแต่เรื่องแปลกประหลาดพิสดาร จั่นเจาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนางมากนัก
“แม่นางตวนมู่ นี่คือ…”
“จั่นเจา เรื่องของสำนักซี่ฮวาหลิว คงไม่ต้องชี้แจงกับเจ้าทุกเรื่องไปกระมัง”
แน่นอนย่อมไม่ต้อง จั่นเจาขอคำยืนยันอย่างระวังวาจา “เหตุขโมยของบนถนนสายนี้ทั้งหมดเป็นฝีมือของแม่นางหรือ”
“อืม”
“ล้วนเกี่ยวข้องกับปีศาจเช่นนั้นหรือ”
นางชายตามอง “เหตุใดจะมิใช่”
เช่นนั้นก็ดี ยืนยันให้แน่ชัดก็พอ จั่นเจาเบี่ยงตัวเปิดทางให้นาง กล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจยิ่ง “จั่นเจากระทำการบุ่มบ่ามไปแล้ว แม่นางตวนมู่ค่อยๆ เดิน”
กลับมาถึงชั้นบน น้ำชายังอุ่นอยู่ กงซุนเช่อโยนสายตาฉงนสงสัยคล้ายอยากถามแต่ก็ไม่พูด
จั่นเจาจิบชาคำหนึ่งแล้วเอ่ย “ซี่ฮวาหลิว”
เช่นนั้นหรอกหรือกงซุนเช่อหมดความอยากรู้อยากเห็นในทันที “มา มา ดื่มชา ดื่มชากันต่อ”
ชาไม่เลว เข้าปากก็หอมชุ่มคอ แต่เสียงคนที่ดังมาจากท้องถนนดูเอะอะโวยวายมากขึ้นทุกที ทำให้ในใจของจั่นเจาเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีก
กำจัดมารปราบปีศาจก็ต้องเกี่ยวข้องกับการขโมยทรัพย์สินด้วยหรือ
ตอนกลางคืน จั่นเจาสอบถามจางหลงที่รับหน้าที่ออกลาดตระเวนในวันนี้ ถึงได้รู้ว่าเพียงชั่วเวลาหนึ่งวัน บนถนนสายนั้นมีคดีขโมยของเกิดขึ้นสิบกว่าคดี
มือไวอย่างประหลาด ทำให้คนยากจะระวังได้ไหว เจ้าทุกข์ก็มีแตกต่างกันไป มีทั้งคนรวยล้นเหลือ และก็มีคนยากจนแทบไม่มีกิน ดูราวจะกวาดให้หมดถนน จางหลงที่ไม่รู้ความนัยพูดด้วยความแค้นใจ “พี่ใหญ่จั่น ท่านรู้หรือไม่ แม้แต่เงินเก็บไว้ซื้อโลงของยายหวงสี่ก็ถูกล้วงไปแล้ว!”
ในใจของจั่นเจามีเสียงดังเปรี้ยง…ยายหวงสี่
ยายหวงสี่ผู้นี้จั่นเจารู้จัก เป็นยายแก่ขอทานคนหนึ่งที่อยู่ในละแวกนี้ มักเห็นนางเที่ยวขอทานอยู่ตามถนน ตอนกลางคืนก็ไปนอนที่วัดร้าง จั่นเจากับคนในศาลไคเฟิงให้เงินทองนางอยู่บ่อยๆ ยายหวงสี่จะเอาเงินทุกเหวินที่ขอทานมาได้เย็บติดไว้ในกระเป๋าเสื้อที่แนบติดกับตัว มีอยู่ครั้งหนึ่งจั่นเจาถามนางว่าเงินที่เก็บสะสมไว้จะเอาไปทำอะไร
ยายหวงสี่ตอบว่า ‘ใต้เท้าจั่น ท่านไม่รู้อะไร ที่บ้านเดิมของข้ามีคำพูดอยู่อย่างหนึ่ง คนตายแล้วจะต้องเก็บศพไว้ในโลงอย่างภูมิฐาน เช่นนี้เมื่อเกิดใหม่ในชาติหน้าจึงจะมีร่างกายที่แข็งแรง ถ้าเพียงแต่เอาเสื่อกกห่อ ท่านลองคิดดู เสื่อกกหัวท้ายมีลมเข้า ลมในเมืองนรกเย็นยิ่ง ชาติหน้าเมื่อมาเกิดใหม่ บ้างก็เป็นโรคปวดหัว บ้างก็เป็นโรคที่ขา เช่นนั้นก็ไม่คุ้มกันแล้ว’ พูดจบก็บ่นพึมพำ ‘เก็บเงินไว้ก็เพื่อซื้อโลงดีๆ สักใบ’
ดังนั้นเงินของยายหวงสี่จึงเป็นเงินเก็บสะสมสำหรับซื้อโลงอย่างแท้จริง
จั่นเจาเกิดรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ครั้งนี้แม่นางตวนมู่ออกจะทำเกินไปแล้ว ปราบปีศาจก็ปราบปีศาจ ไยต้องข่มเหงคนยากจนด้วย
คิดไปคิดมาจึงตัดสินใจจะไปหานาง ไต่ถามให้รู้เรื่อง
นอกเมืองไคเฟิง ชานเมืองด้านตะวันตกห่างจากตัวเมืองสิบลี้
ดูเหมือนแม่นางตวนมู่จะพักผ่อนแล้ว ความจริงยังหัวค่ำแต่กระท่อมตวนมู่กลับมืดไปหมด จั่นเจาชะเง้ออยู่บนหัวสะพานหลายครั้งจนคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
ขณะหมุนตัวจะเดินจากไป พลันเหมือนมีใครจ้องมองมาจากทางด้านหลัง
จั่นเจาหันขวับไปทันที ตวาดเสียงเฉียบขาด “ผู้ใด”
คล้ายมีแต่พุ่มหญ้า ไร้สุ้มไร้เสียง ถ้าเป็นคนทั่วไปอาจหัวเราะแล้วไม่ใส่ใจ แต่จั่นเจาไม่ใช่ เขาเชื่อในสายตาตัวเอง เมื่อครู่ในพุ่มหญ้ามีเงาสั่นไหวจริงๆ
เขาใช้กลักจุดไฟจุดไฟสว่างขึ้น ยื่นมือไปคิดจะแหวกปลายพุ่มหญ้าออก ในเวลานี้เองกระท่อมหญ้าคาที่อยู่ตรงข้ามพลันมีไฟสว่างขึ้น เขาได้ยินเสียงตวนมู่ชุ่ยเอ่ย “ผู้ใด”
ดูท่าคงจะถูกเสียงที่เขาถามขึ้นก่อนว่า ‘ผู้ใด’ทำให้ตกใจตื่น
จั่นเจาประสานมือไปทางด้านนั้น “จั่นเจาแห่งศาลไคเฟิง มีธุระจะขอพบแม่นางตวนมู่”
“เข้ามาเถิด”
ในเมื่อเจ้าบ้าน ‘พยักหน้า’ก็เท่ากับ ‘เจ้าบ้านนำทาง’ แล้ว จั่นเจาระบายลมหายใจทีหนึ่ง ก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพาน
ที่ด้านหลัง พุ่มหญ้าพุ่มนั้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็มีชามกระเบื้องลายครามใบหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ออกมา
ชามลายครามใบนี้มีแขนเล็กๆ ขาเล็กๆ ในใจยังคงหวั่นหวาด “หวาดเสียวยิ่งนัก ข้ายังเข้าใจว่าเป็นหวั่นเอ๋อร์ตามมาเสียแล้ว”
จั่นเจาใส่ใจเรื่องมารยาทเป็นอย่างมาก พอเข้าไปในกระท่อมก็กล่าวขออภัยตวนมู่ชุ่ยก่อน “มารบกวนเวลาพักผ่อนของแม่นาง ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก”
ตวนมู่ชุ่ยบอก “ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็ยังไม่นอน”
ยังไม่นอน?แล้วเมื่อครู่ทั้งกระท่อมดับไฟมืด นางทำอะไรอยู่หรือ
“จริงๆ ข้ากำลังปักผ้าอยู่”
ปักผ้า?
มองตามสายตานางไป จั่นเจาจึงสังเกตเห็นโครงขึงผ้าที่ตั้งอยู่ในห้อง มีเข็มเงินสิบกว่าเล่มร้อยด้ายหลากสีสันปักเฉียงๆ อยู่บนผ้า ลายปักเพิ่งจะขึ้นเค้าโครง ดูเหมือนจะปักลายผีเสื้อเริงระบำนกขมิ้นบินวน ทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิอันสดใสงดงาม
จั่นเจาพูดไปตามพิธีรีตอง “แม่นางตวนมู่ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์สบายอกสบายใจยิ่งนัก”
ตวนมู่ชุ่ยกลับไม่เออออไปกับเขา “ก็แค่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น”
หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง? เหตุใดจึงรู้สึกว่าฟังไม่ค่อยเข้าใจ
“จะปักภาพนี้ให้เสร็จ คงต้องใช้เวลาหลายวันอยู่กระมัง”
นางตอบ “ไม่ต้องนานเช่นนั้น”
ขณะพูดก็ยกมือทั้งสองข้างไปทางโครงขึงผ้า ตบมือเบาๆ แปะๆๆ สามครั้ง
ทันใดนั้นบนโครงขึงผ้าก็มีแสงสีเงินระยิบระยับขึ้นและคล้ายหมอกหลากสีสันแผ่คลุมหนาทึบ จั่นเจาเขม้นตามองไป จึงพบว่าเข็มเงินสิบกว่าเล่มนั่นกำลังชักเส้นด้ายหลากสีสันปักร้อยไปมาอย่างรวดเร็ว รุกถอยมีจังหวะจะโคน ฝีเข็มถี่ยิบ เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา*งานปักก็เสร็จเรียบร้อย
คำพูดที่จั่นเจาคิดจะเอ่ยชมนางตามมารยาทพลันต้องกลืนกลับลงไป นี่ไหนเลยจะเป็นผลงานของเจ้าตัว กระทั่งความเหนื่อยยากก็ยังไม่มี ไม่รู้ปีศาจเข็มปีศาจด้ายจากที่ไหนมาทำงานให้
นางกลับทำท่าคล้ายทำงานใหญ่สำเร็จลุล่วงลง เอาผ้าปักลายออกจากโครงขึงผ้า พับครึ่ง แล้วก็พับครึ่งอีก พูดพึมพำกับตัวเอง “เอาไปแลกเงินได้อีกก้อนหนึ่งแล้ว”
จั่นเจารู้สึกแปลกใจ “ซี่ฮวาหลิวยังต้องหาเงินเองหรือ”
ตวนมู่ชุ่ยบอก “เรื่องนั้นแน่นอน ผู้ดีแสวงหาเงินทองด้วยหนทางที่ถูกต้อง ออกแรงทำงานหาเงิน นี่ไม่ใช่หลักการในแดนมนุษย์ของพวกเจ้าหรือ พวกเราสำนักซี่ฮวาหลิว มาอยู่ที่นี่ก็ต้องคล้อยตามความเคยชินและประเพณีนิยมของที่นี่”
ไม่ถูกไม่ถูก มีตรงไหนสักแห่งที่ไม่ถูกต้อง
จั่นเจาถามอย่างระมัดระวังยิ่ง “ความจริงแม่นางตวนมู่มีอิทธิปาฏิหาริย์มาก ล้วงหยิบเงินในกระเป๋าผู้อื่นง่ายดุจพลิกฝ่ามือ…”
“เจ้าหมายถึงขโมยหรือ” ตวนมู่ชุ่ยถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “องครักษ์จั่น นี่ใช่คำพูดที่องครักษ์พกอาวุธแห่งศาลไคเฟิงควรพูดออกมาหรือ” ยังพึมพำต่อ “ให้พี่ใหญ่ข้ารู้เข้าคงตีข้าตาย”
“แล้ววันนี้ที่แม่นางก่อคดีลักขโมยติดต่อกันสิบกว่าคดีในละแวกศาลไคเฟิง…”
ตวนมู่ชุ่ยสองตาเบิกกว้าง “จั่นเจา ข้าวกินส่งเดชได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดส่งเดช วันนี้ทั้งวันข้ายังไม่ได้ออกจากกระท่อมตวนมู่เลย ข้าไปแถวศาลไคเฟิงตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ข้าเห็นกับตาตัวเอง…”
“คนเรามีที่หน้าตาคล้ายคลึงกัน องครักษ์จั่นตาลายแล้วกระมัง”
“แต่รูปโฉมและเสื้อผ้าที่แม่นางผู้นั้นสวมใส่ เหมือนกับแม่นางตวนมู่ไม่มีผิดเพี้ยน…”
จั่นเจาแข็งใจพูดไปตามความเป็นจริง ขณะเดียวกันก็แอบเตรียมพร้อมที่จะล่าถอย เกิดแม่นางตวนมู่ผู้นี้ไม่ใช่เจ้าบ้านที่พูดด้วยง่าย โกรธโมโหขึ้นมาเหล่าปีศาจเคลื่อนไหวพร้อมกัน นั่นเป็นเรื่องถึงชีวิต
ใครเลยจะคาดคิด จู่ๆ ตวนมู่ชุ่ยก็ไม่พูดไม่จา
คิ้วเรียวงามของนางขมวดมุ่นน้อยๆ ถามเขา “เหมือนข้าไม่ผิดเพี้ยนจริงหรือ”
จั่นเจายืนยัน “เหมือนเป็นพิมพ์เดียวกัน”
ดวงตาทั้งสองของตวนมู่ชุ่ยเริ่มมีประกายไม่พอใจ สองมือเริ่มกำแน่น ผ้าที่พับเรียบร้อยอยู่ในมือของนางเริ่มบิดย่น
ท่าทางดูไม่ค่อยดี ดูเหมือนแม่นางผู้นี้จะโกรธแล้ว
ไม่ผิดจากที่คิด พริบตาถัดมาสองมือของนางพลันแยกออกจากกัน ผ้าปักผืนนั้นฉีกขาดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลายผีเสื้อเริงระบำนกขมิ้นบินวน กลีบดอกไม้กับเศษผ้าร่วงหล่นลงมาพร้อมกัน ครั้นตกถึงพื้นก็หายไป ปลายจมูกยังได้กลิ่นหอมที่หลงเหลือจางๆ
ตวนมู่ชุ่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กินดีเสือหัวใจหมีมาหรืออย่างไร แม้แต่ข้าเจ้าสำนักซี่ฮวาหลิวก็ยังกล้าสวมรอย!”
กลางวันก็ไปดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชาอีกครั้ง
ยังคงเป็นกงซุนเช่อกับจั่นเจา
ด้านล่างมีคนเดินผ่านไปผ่านมา บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา
ดื่มชา ชิมขนมและผลไม้แห้ง นั่งรับลมเย็นๆ ครั้งนี้กงซุนเช่อละเมิดกฎก่อน
“องครักษ์จั่น ได้ยินว่าระยะนี้ละแวกนี้สงบสุขอย่างยิ่ง เหล่าพี่น้องที่ออกลาดตระเวนว่างจนตัวแทบจะขึ้นขนแล้ว”
จั่นเจายิ้มบาง “กล้าเอาซี่ฮวาหลิวมาแอบอ้างหลอกลวงต้มตุ๋นก็ขวัญกล้าเกินไปแล้ว”
กงซุนเช่อลดเสียงลงต่ำ “ได้ยินว่าเจ้าสำนักตวนมู่ผู้นั้นโกรธมากใช่หรือไม่ หลายวันมานี้ได้สั่งการให้คนในสำนักซี่ฮวาหลิวทั้งหมดมาเดินเข้าเดินออกอยู่บนถนนสายนี้จริงหรือ”
จั่นเจาพยักหน้า
กงซุนเช่อชะโงกหน้ามองไปที่ด้านล่างด้วยความอยากรู้ “คนของสำนักซี่ฮวาหลิว ฟังแล้วดูยิ่งใหญ่เฉียบขาด แต่ก็ไม่รู้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร คงองอาจห้าวหาญหน้าตาไม่ธรรมดา อยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อยจริงๆ”
จั่นเจาก็อยากรู้ สำนักซี่ฮวาหลิวที่มีสง่าน่าเกรงขาม ฟังดูมีอานุภาพเกรียงไกร คนในสำนักไม่เป็นร้อยเป็นพันก็ต้องมีหลายสิบกระมัง ทั้งหมดล้วนไปพักอาศัยอยู่ที่ไหน บ้านของตวนมู่ชุ่ยเป็นเพียงกระท่อมมุงหญ้าคาธรรมดามีเพียงไม่กี่ห้อง ตามเหตุผลแล้วก็ไม่น่าจะอยู่ได้
กงซุนเช่อสอบถามข่าวจากเขาอีก “แล้วสืบได้ร่องรอยเบาะแสหรือยัง”
ไม่มี ไม่มีเลย
Related
Comments
