Uncategorized
ทดลองอ่าน นิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 26 ตอนที่ 2
หลี่อวี๋แน่นอนว่าไม่ลืมค่ำคืนนั้นที่ตนคุกเข่าหน้าตำหนักของเสด็จพ่อ วอนขอให้ได้แต่งไปทุ่งร้าง ค่ำคืนที่ต้องร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว นางไม่มีวันลืม แต่เมื่อเวลาผ่านไปนางปิดบังความเศร้าโศกเหล่านี้ไว้ในใจ ถึงขนาดบางครั้งคิดว่าตนเองลืมไปแล้วจริงๆ
นางคิดไม่ถึงว่าน้องชายที่ตอนนั้นอายุยังน้อยกลับจดจำเรื่องนี้ตลอดมา ซ้ำยังฝังลึกอยู่ในใจเนิ่นนานขนาดนี้ จนขึ้นครองราชย์ถึงได้ระเบิดออก เวลานี้นอกจากซาบซึ้งและเศร้าใจจางๆ แล้วนางยังจะรู้สึกอย่างไรได้อีก ย่อมไม่อาจตำหนิมันอย่างรุนแรงอีกแล้ว
“นอกจากเหมียวเข่อฉือยังมีสตรีนางนั้น!ตอนแรกถ้าไม่ใช่นางคอยยุยงเสด็จพ่อ ถ้าไม่ใช่พวกขุนนางบริวารของนางช่วยส่งเสริมสนับสนุน คำทำนายของสำนักโหราจารย์จะทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างใหญ่โตเช่นนั้นได้อย่างไร เสด็จพี่จะต้องแต่งให้กับชาวหมานในทุ่งร้างที่น่ารังเกียจได้อย่างไร”
เสียงของหลี่ฮุยหยวนเย็นชาขึ้น ยื่นมือไปกุมมือหลี่อวี๋แน่น
“เสด็จพี่ท่านวางใจ ตอนนี้ข้าเป็นจักรพรรดิแล้ว ไม่มีใครกล้ารังแกพวกเราเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีก การตายของเหมียวเข่อฉือเป็นเพียงแค่เริ่มต้น สตรีนางนั้นข้าจะให้นางอยู่ที่เมืองเฮ่อหลัน ไม่มีวันได้กลับฉางอัน!”
ฟังจบหลี่อวี๋พลันได้สติ กุมมือมันไว้แน่น จ้องตามันแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เมืองเฮ่อหลันข้าเตรียมการไว้แล้ว เจ้าอย่าได้ยุ่งเกี่ยว ถึงอย่างไรนางก็มีฐานะเป็นเสด็จแม่ของพวกเรา ตอนนี้เป็นพระพันปี หากจะลงมือต่อนางต้องเป็นโอกาสที่เหมาะสมและมีเหตุผลอันสมควร นางต้องกลับฉางอัน นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน ที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือถ่วงเวลาให้นางกลับมาช้าอีกสักหน่อย”
หลี่ฮุยหยวนคิดกล่าวสิ่งใดต่อ
หลี่อวี๋ส่ายหน้า มองมันพลางกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้ารู้ว่าตอนนี้ในเมืองฉางอันมีข่าวลือว่าพระราชโองการเป็นของปลอม เจ้าจึงไม่ค่อยสบายใจ แต่ข่าวลืออย่างไรก็เป็นได้แค่ข่าวลือ ผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์ ข้ายังรู้มาด้วยว่าใต้เท้าสวีผู้นั้นเขียนคำทำนายว่า ‘จันทราหมองรุกรานดารา แผ่นดินจะหาความสงบสุขมิได้’นั่นเป็นเพียงการกระทำที่เกิดจากโทสะของมัน เจ้าอย่าไปสร้างความลำบากให้มันด้วยเรื่องนี้เลย เจ้าต้องจำไว้ว่าพระราชโองการไม่ใช่กุญแจสำคัญ สตรีนางนั้นไม่ใช่กุญแจสำคัญ คำทำนายของสำนักโหราจารย์ก็ไม่ใช่กุญแจสำคัญ กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าสุดท้ายแล้วบรรดาขุนนางในราชสำนักและเหล่าราษฎรสนับสนุนใคร”
คำพูดของหลี่อวี๋มีเหตุผล ผู้เป็นจักรพรรดิต้องมีจิตใจกว้างขวางและความอดทน จะปกครองแผ่นดินได้ต้องมีหนทางให้เดินไป หากแต่ก็ไม่อาจเดินบนหนทางแห่งความต่ำช้า
กระนั้นหลี่อวี๋ก็ไม่ได้อธิบายสิ่งที่พูดออกไปอย่างครบถ้วน…พระราชโองการและสำนักโหราจารย์ไม่ใช่กุญแจสำคัญก็จริง แต่พระอัครมเหสีที่อยู่เมืองเฮ่อหลัน สำหรับการที่หลี่ฮุยหยวนจะนั่งตำแหน่งจักรพรรดิได้อย่างมั่นคงหรือไม่ขึ้นอยู่กับนางเป็นสำคัญ นอกเหนือจากนี้คือฝ่ายการทหารและท่าทีของสถานศึกษา
เรื่องที่หลี่อวี๋กังวลที่สุดคือสถานศึกษาและสตรีที่เมืองเฮ่อหลัน ช่วงเวลาแบบนี้นางเริ่มคิดถึงหนิงเชวีย ถ้าตอนนี้มันยังอยู่ฉางอัน คิดว่าเรื่องราวทุกอย่างคงราบรื่นขึ้นมาก ทว่า…
เสด็จพ่อโปรดปรานหนิงเชวียอย่างยิ่ง คิดว่าหนิงเชวียก็จริงใจต่อเสด็จพ่ออยู่หลายส่วน ถ้ามันรู้ว่าตนปลอมแปลงพระราชโองการ ไม่รู้ว่าท่าทีของมันที่มีต่อตนจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ตกดึก วังหลวงมีเกี้ยวถูกแบกออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง สุดท้ายหยุดลงที่หน้าตำหนักซึ่งเงียบสงบแห่งหนึ่ง หลี่อวี๋เดินลงจากเกี้ยว โบกมือเป็นสัญญาณให้ขันทีและนางกำนัลรู้ว่าไม่ต้องตามมา นางเดินเข้าไปในตำหนัก
ตำหนักหลังนี้มีความพิเศษมาก นี่คือตำหนักที่ประทับของพระอัครมเหสี
ยามนี้หลี่อวี๋รู้สึกว่าตนอ่อนแอจึงมาที่นี่ ด้วยเพราะทุกครั้งที่นางมายังตำหนักหลังนี้มักเกิดโทสะรุนแรง และโทสะสามารถเปลี่ยนเป็นพลัง
เจ้าของตำหนักหลังนี้ยังอยู่ไกลถึงเมืองเฮ่อหลัน ยังไม่กลับมา ดังนั้นในตำหนักจึงจุดโคมไฟไว้เพียงสองสามดวง ดูมืดอยู่บ้าง แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังมองเห็นการตกแต่งที่สวยงามในตำหนักได้อย่างชัดเจน
นางกำนัลและขันทีล้วนถูกไล่ออกไปจนหมด ตอนนี้ในตำหนักจึงเหลือเพียงหลี่อวี๋
นางยืนเงียบๆ อยู่หน้าเตียงที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม สีหน้าพลันปรากฏอารมณ์เหยียดหยาม
มารดาของนางเดิมทีควรเป็นพระอัครมเหสีเพียงหนึ่งเดียว แต่จนใจที่ร่างกายอ่อนแอ โรคภัยรุมเร้า เมื่อหลายปีก่อนจึงป่วยตาย เตียงนี้เดิมทีควรเป็นของมารดา แต่มารดากลับไม่เคยได้นอน
สตรีนางนั้นที่ต่อมาได้นอนเตียงนี้ทั้งงดงามและอ่อนโยน ไม่ว่าเสด็จพ่อ เสด็จอา แม้กระทั่งท่านอาเฉา ตอนนางยังเด็กทุกคนต่างโน้มน้าวให้นางเรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จแม่
แต่นางไม่เคยเรียก
จนกระทั่งนางเติบใหญ่จึงเริ่มเรียก
นางเรียกเสด็จแม่หนึ่งครั้ง ในใจก็มีโลหิตหยดออกมาหนึ่งหยด
สิบกว่าปีผ่านไป หัวใจของนางเต็มไปด้วยรอยแผล รอยแผลที่ไม่เคยสมานตัว
นางต้องยอมรับว่าเสด็จพ่อและสตรีนางนั้นไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างเลวร้าย แต่นางก็ไม่มีทางให้อภัยเพราะนางจำวันที่มารดาตายได้เสมอมา
วันนั้นนางทักทายมารดาด้วยความเบิกบานใจ ปีนขึ้นไปบนเตียงหยอกล้อเล่นกับน้องชายที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน จากนั้นไม่รู้เพราะเหตุใดมารดาจึงเริ่มไอเป็นเลือด ดูทรมานมาก แล้วหลับตาลง
หมอหลวงเดินเข้าเดินออกไม่หยุด มารดายังไม่ลืมตา
เสด็จพ่อกลับไม่อยู่
เสด็จพ่ออยู่กับสตรีนางนั้น
หลี่อวี๋ยืนอยู่เงียบๆ มองเตียงหลังนั้น ไม่รู้มองเห็นมารดาของตนหรือมองเห็นสตรีนางนั้น สองมือบางกำแน่นช้าๆ ร่างกายเริ่มสั่นเทา
นี่คือความรู้สึกโกรธ
พร้อมกับอาการสั่นที่เกิดจากความโกรธ พลังที่คุ้นเคยสายนั้นแล่นเข้าสู่ร่างของนางอีกครั้ง สีหน้าของนางค่อยๆ สงบลง แล้วหันกายเดินออกจากตำหนัก
สตรีนางนั้นต่อให้กลับมาฉางอันก็ไม่มีทางได้นอนบนเตียงหลังนี้อีก
เมื่อกลับถึงตำหนักหลี่อวี๋ก็อ่านแก้ฎีกาต่อ นางมีสมาธิทำงานดีกว่าก่อนหน้านี้มาก เพียงแต่จำนวนฎีกามีมากเกินไปจริงๆ ไม่อาจทำเสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น
นางนวดหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า สั่งให้ขันทียกน้ำชา แล้วสั่งนางกำนัลให้เอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาซับหน้า จึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
ตอนที่นางอ่านแก้ฎีกาทั้งหมดจนเสร็จ แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณก็ส่องลอดเข้ามาทางประตูของตำหนัก นางนวดข้อมือที่ปวดนิดๆ ไม่สนใจคำทัดทานของขันที สั่งให้คนไปเชิญคนสองคนเข้าวังมาสนทนา
ไม่กี่วันมานี้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในราชสำนักล้วนอยู่ในความคาดหมาย เพียงคิดไม่ถึงว่าน้องชายของนางจะใจร้อนถึงเพียงนี้ แม้นางไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่แข็งกร้าวของมัน แต่ก็ไม่ลดความระแวดระวังต่อขุนนางฝ่ายพระอัครมเหสี สถานการณ์ในตอนนี้อันดับแรกนางต้องควบคุมเมืองฉางอันให้อยู่หมัด
การควบคุมเมืองฉางอันคือการควบคุมกำลังทหาร กองกำลังอวี่หลินสำคัญที่สุด ถัดมาคือค่ายเซียวฉี ส่วนหน่วยองครักษ์ที่รับผิดชอบความปลอดภัยในวังหลวงก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
นอกจากกำลังทหารแล้วในเมืองฉางอันยังมีอีกหน่วยงานหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นคือที่ว่าการเมืองฉางอันซึ่งมีจำนวนมือปราบมากพอและคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่ในเมืองเป็นอย่างดีหากเกิดการจลาจลขึ้นมา
ดังนั้นคนสองคนที่นางต้องการพบ
คนหนึ่งคือจิงเจ้าอิ่น*ของที่ว่าการเมืองฉางอัน ซั่งกวนหยางอวี่
ส่วนอีกคนแซ่เฉา นามเสี่ยวซู่
Related
Comments
