• Connect with us

    Enter Books

    Uncategorized

    ทดลองอ่าน นิยายสยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 26 ตอนที่ 2

    กีบเท้าม้าควบไม่หยุด พื้นทุ่งหญ้าที่ชุ่มด้วยน้ำฝนถูกเหยียบย่ำจนกระเด็นขึ้นมาเป็นแผ่นๆ

    ทหารม้าของต้าถังสิบกว่านายควบม้าเข้ามาในค่ายบัญชาการทัพเหนือ ไม่ว่าจะเป็นทหารม้าหรือม้าศึกล้วนดูเหนื่อยล้ามาก บนตัวยังมีคราบน้ำฝนและดินโคลน สภาพทุลักทุเลยิ่งนัก

    เซี่ยวเว่ยของค่ายบัญชาการทัพเหนือหลังตรวจสอบยืนยันเอกสารแล้วก็รีบพาทหารม้าเหล่านั้นเข้าไปในค่าย จากนั้นสั่งให้พลทหารเตรียมน้ำอุ่นและอาหารให้พวกมัน

    ผู้บัญชาการทหารที่เป็นหัวหน้าของทหารม้าสิบกว่านายนั้นกล่าวว่า

    “ข้าต้องการพบแม่ทัพใหญ่ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง”

    เซี่ยวเว่ยผู้นั้นได้ยินแล้วตกใจ ใจคิด รีบรุดจากเขตกู้ซานมายังค่ายบัญชาการทัพเหนือด้วยเวลาอันสั้นเช่นนี้คาดว่าคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย พักผ่อนสักนิดก็ไม่พัก จะขอพบแม่ทัพใหญ่ ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

    ผู้บัญชาการหนุ่มจากเขตกู้ซานผู้นี้คือฮว่าซานเยวี่ย

    คนผู้นี้มีภูมิหลังครอบครัวยิ่งใหญ่ ทั้งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายองค์หญิงอย่างเต็มที่ อายุยังน้อยแต่มีตำแหน่งเป็นซานโจวเจิ้นจวินจู่ก่วน*กองกำลังในสังกัดประจำการอยู่ที่เขตกู้ซาน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือกองกำลังล้วนไม่อาจดูแคลน มันบอกว่าต้องการพบแม่ทัพใหญ่โดยเร็วที่สุด ค่ายบัญชาการทัพเหนือจึงไม่อาจหาเหตุผลมาถ่วงเวลา

    ภายในจวนแม่ทัพ แม่ทัพใหญ่สวีฉือมองฟ้าครึ้มนอกหน้าต่างครั้งหนึ่ง นิ่งเงียบอยู่นาน จากนั้นหันกายมามองฮว่าซานเยวี่ยแล้วกล่าวว่า

    “ก่อนฝนจะหยุดเจ้าก็เดินทางแล้วหรือ”

    ฮว่าซานเยวี่ยรับคำอย่างนอบน้อม

    “ใช่ขอรับ ท่านอา”

    “คนหนุ่มทำอะไรมักใจร้อน เจ้าน่าจะรู้ว่าเรื่องของกองทัพเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจไม่ระวัง เจ้าเป็นถึงแม่ทัพบัญชาการสามเขตเมือง ออกจากค่ายบัญชาการเดินทางมาด้วยตัวเองเท่ากับทำผิดกฎของกองทัพแล้ว หากระหว่างทางเจ้าเป็นอะไรไป ไม่ต้องพูดถึงว่าบิดามารดาเจ้าจะเสียใจขนาดไหน จะอธิบายต่อราชสำนักอย่างไร”

    ฮว่าซานเยวี่ยระงับความเหนื่อยล้า กล่าวว่า

    “เรื่องราวเร่งด่วนจึงต้องรีบมา”

    แม่ทัพใหญ่สวีฉือเป็นคนสุขุมหนักแน่น แม้ได้ยินว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง นิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนกล่าวช้าๆ ว่า

    “เจ้าคงรู้ว่าข้าไม่ได้อยากเจอเจ้า”

    ฮว่าซานเยวี่ยทราบว่าแม่ทัพใหญ่เดาได้จึงเจตนาในการมาของตน จึงยิ้มพลางกล่าวว่า

    “แต่ท่านอาสุดท้ายแล้วยังเลือกที่จะพบข้า นี่แสดงว่าท่านอยากฟังสิ่งที่ข้าจะพูด”

    “ข้ารู้ว่าคำพูดที่อีกประเดี๋ยวเจ้าจะพูดคือคำพูดที่องค์หญิง…หรือจะบอกว่าฝ่าบาทองค์ปัจจุบันต้องการพูดกับข้า แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าพูดออกมา”

    ฮว่าซานเยวี่ยตะลึงงัน ถามว่า

    “เพราะเหตุใด”

    “เพราะคำพูดเหล่านั้นต้องเป็นวาจาที่ล่วงเกินเบื้องสูงอย่างแน่นอน และข้า…ไม่อยากจับกุมเจ้าด้วยตัวเอง”

    “ถ้าท่านอาฟังคำพูดของข้าจบแล้วยังคงคิดว่าเป็นการล่วงเกินเบื้องสูง เช่นนั้นอย่าว่าแต่จับกุมข้า ต่อให้ท่านตัดศีรษะข้า ข้าก็ไม่โทษท่าน”

    สวีฉือนิ่งเงียบมองตามันพลางกล่าวว่า

    “กองเสบียงที่ค่ายบัญชาการทัพเหนือส่งไปเมืองเฮ่อหลัน ตอนที่ฝนเพิ่งหยุดก็ออกเดินทางแล้ว เจ้าคิดว่าคำพูดที่เจ้าจะพูดยังมีประโยชน์อยู่ไหม”

    ฮว่าซานเยวี่ยกล่าวอย่างจริงใจว่า

    “แม่ทัพใหญ่เข้าใจผิดต่อฝ่าบาทและองค์หญิงแล้ว ไม่เคยมีใครคิดตัดเสบียงของเมืองเฮ่อหลัน ยิ่งไม่มีใครไร้ยางอายถึงขนาดใช้วิธีสกปรกกับทหารของต้าถัง คำร้องขอขององค์หญิงต่อแม่ทัพใหญ่ความจริงแสนเรียบง่าย เพียงหวังว่าการเคลื่อนไหวต่อจากนี้ของท่านจะช้าลงหน่อย”

    สวีฉือเลิกคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

    “เหตุใดต้องช้าลงหน่อย”

    ฮว่าซานเยวี่ยรับสายตาโดยไม่หลบเลี่ยง

    “ตลอดมาท่านอาขึ้นชื่อเรื่องความสุขุม จักรพรรดิองค์ก่อนจึงไว้วางพระทัยมอบกองกำลังฝ่ายเหนือไว้ในมือท่าน ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ คลื่นใต้น้ำของเมืองฉางอันยังไม่สงบ พระอัครมเหสีกลับฉางอันช้าหนึ่งวัน ต้าถังก็มั่นคงเพิ่มหนึ่งส่วน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงช้าลงหน่อยมิได้”

    “ฝ่าบาทยังอยู่เมืองเฮ่อหลัน หรือจะให้ข้าไม่สนใจ”สวีฉือกล่าวเสียงเข้ม

    “ฝ่าบาทย่อมมีวันกลับคืนสู่ฉางอันแน่นอน แต่ฉางอันเวลานี้ไม่อาจปล่อยให้เกิดการจลาจล”

    “วาจาช่างไร้เดียงสา”สวีฉือกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “หากเป็นคำพูดเหล่านี้ องค์หญิงก็ยากจะโน้มน้าวข้า ตรงกันข้ามข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าเจตนาขององค์หญิงคืออะไรกันแน่”

    “พระราชโองการประกาศต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก ถ้ามีปัญหา ข้าเชื่อว่าทางฉางอันต้องมีคนมาส่งข่าวให้ท่านอาแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อจนถึงตอนนี้แม้กระทั่งคนของฝ่ายพระอัครมเหสียังไม่มีใครมาส่งข่าวให้ท่านอา ความสงสัยของท่านจึงไม่จำเป็นเลย”

    หน้าจวนแม่ทัพจู่ๆ ก็เกิดความวุ่นวาย มีข่าวด่วนส่งมา ฮว่าซานเยวี่ยจึงกล่าวว่า

    “เรื่องของกองทัพเป็นเรื่องสำคัญ เชิญท่านอาไปจัดการก่อน พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”

    เวลาผ่านไปพอสมควร สวีฉือจัดการเรื่องราวเสร็จ กลับเข้ามาในห้อง ตอนนี้ฮว่าซานเยวี่ยกำลังยืนอ่านหนังสืออยู่ข้างชั้นวางหนังสือ แต่ความจริงจิตใจไม่รู้ล่องลอยไปที่ใด สวีฉือมองมันพลางกล่าว

    “ราชสำนักเผ่าจินจั้งมีการเคลื่อนไหว”

    ฮว่าซานเยวี่ยขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพใหญ่จะบอกข่าวสำคัญให้ตนเองรู้

    “ข้ารีบรุดมาจากเขตกู้ซาน ระหว่างทางเปลี่ยนม้าไปสี่ตัว ทราบดีกว่าใครว่าเส้นทางหลังฝนตกเดินทางได้ยากลำบากเพียงใด คาดว่าที่ทุ่งร้างคงลำบากยิ่งกว่า ขบวนรถอาจฝืนเดินทางได้ แต่ทหารม้าจำนวนมากจะเดินทางอย่างไร เปรียบเทียบทหารม้าของต้าถังกับทหารม้าดินแดนแห่งทุ่งหญ้า ทหารม้าต้าถังเรามีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าและติดเกราะเหล็กทำให้มีน้ำหนักมากกว่า เคลื่อนที่ได้ช้ากว่า อย่างนี้แล้วท่านอาต้องระวังรอบคอบให้มากกว่าเดิม”

    “สรุปแล้วเจ้าต้องการโน้มน้าวให้ข้าช่วยเหลือเมืองเฮ่อหลันช้าลงหน่อย”

    สวีฉือจ้องตามัน

    “เจ้าอย่าได้ใช้สถานการณ์ที่ราชสำนักเผ่าจินจั้งอาจซุ่มโจมตีมาขู่ข้า เพราะทหารม้าของข้าไม่มีวันถูกผู้อื่นซุ่มโจมตี องค์หญิงเป็นคนฉลาด รู้ว่าข้าฟังเพียงคำสั่งของฝ่าบาทและปฏิบัติตามกฎหมายของต้าถังเท่านั้น ต้องการจะโน้มน้าวข้า เจ้าต้องมีวิธีอื่นเป็นแน่”

    ฮว่าซานเยวี่ยหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งที่ใช้ผ้าน้ำมันห่อไว้อย่างดีออกมาจากอกเสื้อ วางลงบนโต๊ะเบาๆ

    “เดิมองค์หญิงตั้งใจว่าการไม่ต้องใช้ของพวกนี้มาโน้มน้าวท่านอาคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะของพวกนี้หากเผยแพร่ออกไปจะทำให้ชื่อเสียงของต้าถังและจักรพรรดิองค์ก่อนด่างพร้อยเป็นอย่างมาก”

    สวีฉือได้ยินคำพูดของมัน สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วค่อยๆ เปิดดูเอกสารพวกนั้น อ่านไล่เรียงไป อารมณ์ในแววตาเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

    สวีฉืออ่านเอกสารจบปฏิกิริยาที่เด่นชัดที่สุดคือไม่เชื่อ มันเงยหน้าขึ้นมองฮว่าซานเยวี่ยด้วยสีหน้าที่เย็นชาดุจน้ำแข็ง แล้วเอ่ยว่า

    “เหลวไหลสิ้นดี!วิธีการนี้ต่ำช้านัก!”

    กับปฏิกิริยาของแม่ทัพใหญ่ ฮว่าซานเยวี่ยไม่ได้แปลกใจ เพราะแม้แต่มันที่เป็นทหารคนสำคัญของฝ่ายองค์หญิง ครั้งแรกที่รู้ความลับนี้ก็ไม่เชื่อเช่นกัน

    พระอัครมเหสีของต้าถังแท้จริงคือปราชญ์หญิงของพรรคมาร นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำให้ใครเชื่อได้ ฮว่าซานเยวี่ยก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ในตอนนี้ที่คิดว่าเป็นแผนการชั่วร้ายขององค์หญิง

    “ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ แต่หลักฐานชี้ชัด ไม่อาจไม่เชื่อ”มันกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง“มีคำยืนยันของราชครูหลี่ชิงซานก่อนเสียชีวิต จุดสำคัญอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระอัครมเหสีและซย่าโหว หากพิสูจน์ข้อนี้ได้ก็พิสูจน์เรื่องทั้งหมดที่เหลือได้”

    สวีฉือนึกถึงสิ่งที่อยู่ในเอกสารเมื่อครู่ นึกถึงบรรดาเอกสารลับที่อารามฝ่ายใต้ลอบนำมาจากอาศรมเทพ ยังมีเอกสารลับเก่าแก่ของวังหลวง เมื่อนำมาเปรียบเทียบและไตร่ตรองจนได้ข้อสรุป สองมือมันพลันสั่นเทิ้ม

    “ที่ผ่านมาท่านอาเคยได้ยินบ้างหรือไม่ว่าพระอัครมเหสีป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ เมื่อครั้งตำหนักชิงเฉิงในวังหลวงเกิดเพลิงไหม้ พระอัครมเหสีพาขันทีและนางข้าหลวงคนสนิทลุยไฟเข้าไปช่วยคน ได้รับคำชื่นชมอยู่ระยะหนึ่ง ทั่วแผ่นดินต่างสรรเสริญคุณธรรมความเมตตาและความกล้าหาญของนาง ทว่ามีใครสังเกตหรือไม่ว่าขันทีและนางข้าหลวงเหล่านั้นล้วนบาดเจ็บถูกไฟลวก มีเพียงพระอัครมเหสีที่ลุยไฟเข้าไปคนเดียวถึงสามครั้ง เพียงเส้นผมโดนไหม้ไปเล็กน้อยเท่านั้น บนร่างไม่มีรอยแผลอะไรเลย”

    ฮว่าซานเยวี่ยกล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    “ท่านอาอย่าลืมสิ พวกเราชาวถังก็เป็นสาวกของเฮ่าเทียน แม้แคว้นเราเปิดเผยใจกว้าง แต่ไม่เคยได้ยินว่าใจกว้างต่อคนของพรรคมารด้วย สมัยก่อนที่เคอเซียนเซิงแห่งสถานศึกษาบุกถล่มพรรคมาร เศษเดนพรรคมารเคลื่อนไหวลงใต้มาอย่างลับๆ วางแผนการใหญ่โต ซย่าโหวและพระอัครมเหสีเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในแผนการนี้ หรือท่านอาจะนิ่งเฉยมองความสำเร็จของพรรคมาร”

    สีหน้าของสวีฉือแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกรงขาม เอ่ยว่า

    “ตอนนี้อาศรมเทพคิดอาศัยโอกาสที่จอมปราชญ์และฝ่าบาทไม่อยู่แล้วบุกตีต้าถัง สถานการณ์คับขันเช่นนี้ข้าไม่สนใจธรรมะหรือมาร หากพรรคมารทำให้ต้าถังเราแข็งแกร่งได้แล้วจะเป็นไร”

    ฮว่าซานเยวี่ยฟังแล้วตกใจ มันอายุน้อยเกินไป ไม่เหมือนพวกแม่ทัพใหญ่ระดับสวีฉือที่มีประสบการณ์ทำสงครามกับแคว้นต่างๆ ต่อกรกับยอดฝีมือนิกายเต๋าในยุคแห่งสงคราม ดังนั้นมันไม่มีทางเข้าใจความคิดเด็ดเดี่ยวของสวีฉือในตอนนี้ที่ยอมร่วมมือกับพรรคมารเพื่อเผชิญแรงกดดันจากอาศรมเทพ

    ฮว่าซานเยวี่ยเอ่ยถามเสียงดังว่า

    “หรือท่านอาอยากเห็นเศษเดนพรรคมารเป็นพระพันปีของต้าถังเรา”

    สวีฉือตอบเสียงเข้มว่า

    “ฝ่าบาทเป็นบุคคลระดับใด ทรงอยู่ร่วมกับพระอัครมเหสีมาเกือบยี่สิบปี ย่อมรู้แต่แรกว่านางมาจากพรรคมาร ในเมื่อฝ่าบาททรงไม่มีอคติ ข้าก็ไม่มีอคติเช่นกัน”

    ฮว่าซานเยวี่ยพลันรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าตนเป็นตัวแทนองค์หญิงนำเอกสารมา สุดท้ายไม่อาจประสบผลที่ตั้งใจไว้ จึงถามอย่างผิดหวังว่า

    “แม้บุตรของนางอาจจะปกครองต้าถังอย่างนั้นหรือ”

    สวีฉือนิ่งเงียบ

    ฮว่าซานเยวี่ยพลันนึกถึงประโยคนั้นที่องค์หญิงเอ่ยถึงเป็นพิเศษในจดหมายลับขึ้นมาได้ สาวเท้าไปที่หน้าโต๊ะ กล่าวด้วยโทสะว่า

    “แม้สาเหตุที่ฝ่าบาทสวรรคตก่อนเวลาอันควรมาจากการที่พระองค์เคยถูกพิษของพระอัครมเหสีอย่างนั้นหรือ”

    สวีฉือเงยหน้าขึ้นในทันที

    ฮว่าซานเยวี่ยจ้องตามันพลางกล่าวว่า

    “เรื่องราวทั้งหมดนี้วันหน้าย่อมประจักษ์แจ้ง สิ่งที่องค์หญิงร้องขอให้ท่านแม่ทัพทำคือแค่ช้าลงหน่อย ต้าถังจะคงอยู่อย่างยั่งยืนได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน”

    Comments

    comments

    Continue Reading

    More in Uncategorized

    นิยายยอดนิยม

    Facebook