ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดเชฟเทพนักปรุง เล่ม 4 ตอนที่ 2
ถ้าสามารถเข้าไปอยู่ในครัวนั้นได้ ก็อยากไปอยู่จัง
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกเสียดายกับการต้องรับหน้าที่หัวหน้าเชฟแบบนี้ บางคนปรบมือขึ้นมา ไม่ได้เสียงดังอะไรมากมาย ก็แค่ทุกคนพอได้ยินเท่านั้น ถึงกับฟังดูผ่อนคลายนิดๆ ด้วยซ้ำ เสียงปรบมือของหัวหน้าเชฟทั้งสามสิบหกคนแก่เรเชล แก่ครัวของเธอเป็นเสียงปรบมือเพื่อตอบแทนให้กับการสั่งสอน ความยินดีกับการกลับมาของอาจารย์ และแสดงถึงความดีใจ เสียงปรบมือยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุดตราบเท่าที่ไฟในใจของพวกเขายังลุกโชน
แม้งานชิมอาหารที่เรเชลจัดขึ้นจะจบลงแล้ว แต่พวกหัวหน้าเชฟก็ยังไม่กลับทันที ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ยุ่ง จริงๆ แล้วพวกเขาควรจะต้องรีบกลับไปให้ทันตารางงานของตัวเอง แต่เพราะสำหรับพวกเขาแล้วโรสไอส์แลนด์สาขาเวนิสเป็นเหมือนบ้านเกิดในใจของพวกเขา เรเชล โรสก็เป็นเหมือนแม่คนหนึ่งของพวกเขา จึงไม่แปลกที่จะไม่อยากรีบกลับ ยิ่งเป็นบ้านเกิดและแม่ที่เพิ่งได้เจอกันอีกครั้งในรอบสิบปีด้วยแล้ว
“ต่อไปนี้จะติดต่อกันได้แล้วใช่มั้ยครับอาจารย์”
“ใช่ หมดเวลาจะใช้ชีวิตเหมือนซากศพแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
“จะไม่ห่วงได้ไงคะ อาจารย์ใช้ชีวิตแบบนั้นมาสิบปี ต่อไปก็เตรียมตัวรับความเป็นห่วงไว้มากๆ เถอะค่ะ”
“ฉันคงจะตายก่อนที่พวกเธอจะมาห่วงอีกมั้ง…เฮ้อ เข้าใจแล้วๆ ไม่ต้องจ้องด้วยสายตาน่ากลัวแบบนั้นหรอก แก่แล้วก็ต้องพูดเล่นสนุกๆ แบบนี้บ้างสิ ใจดำกับคนแก่จริงๆ”
เรเชลหันไปทางอื่นด้วยสีหน้าขัดเขิน ถ้าเป็นนิสัยเหมือนตอนสาวๆ เธอคงด่าออกไปแล้วว่าจ้องอะไรกันนักหนา พอพวกหัวหน้าเชฟได้เห็นท่าทางที่อ่อนลงแบบนั้นก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเรเชลแก่ลงไปเยอะเลย
“ราฟาเอล ฝากช่วยดูแลเชฟของพวกเราด้วยนะครับ”
“ผมทำเต็มที่อยู่แล้วครับ แต่อย่าห่วงกันไปนักเลย คุณไอแซคอยู่ข้างตัวตลอด เขาเป็นผู้จัดการที่ดีที่สุดในโลกเลย”
คำพูดของราฟาเอลทำให้มินจุนที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าตามโดยไม่รู้ตัว จริงอย่างที่ราฟาเอลบอก แม้ว่ามินจุนจะไม่ค่อยได้เห็นผู้จัดการร้านอาหารมามากนัก แต่ไอแซคก็สมบูรณ์แบบจริงๆ งานที่ไอแซคต้องทำมีมากมาย ทั้งดูแลโรสไอส์แลนด์สาขาใหญ่และร้านสาขาอื่น ต้องติดต่อและตรวจตราดูแลคนที่จะเอาวัตถุดิบมาส่งให้ร้าน นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ของเรเชลอีก ถ้าไอแซคหายไป เรเชลก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า แม้เจ้าตัวจะเป็นคนที่เข้าถึงยากไปหน่อยก็ตาม นิสัยไม่ค่อยพูดของไอแซคนั้น แม้แต่เจเน็ตกับแอนเดอร์สันก็ยังเทียบไม่ติด
ตอนนั้นเองเดโบร่าห์ก็ถือสเต๊กชิ้นหนึ่งที่กินคู่กับเดมิกลาซซอส ครีมส้ม และอะโวคาโดพูเรเดินเข้ามาใกล้ๆ
“นี่ มินจุน ลองชิมนี่หน่อยได้มั้ย”
“อ๋อ ส่งมาสิครับ”
มินจุนรับจานมา ความจริงเขาอิ่มแล้ว ไม่ใช่แค่เดโบร่าห์เท่านั้น หัวหน้าเชฟหลายคนก็อยากให้เขาลองชิมอาหารของตัวเอง ยิ่งพวกเชฟที่ได้ดาวน้อยหรือเชฟที่ถูกลดดาวยิ่งเอามาให้เขาลองชิมหลายจาน อาจจะอยากยืมความสามารถของคนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำเพื่อวิเคราะห์ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เพราะแบบนั้นถึงแม้จะอิ่ม แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความปรารถนาเหล่านั้นได้
“ผมขอบอกอีกครั้งนะครับว่ามาตรฐานการชิมของผมไม่ได้…”
“ไม่ได้สูงอย่างที่ทุกคนคิด แค่แยกวัตถุดิบออกเท่านั้น เรื่องนั้นฉันได้ยินมาหลายรอบแล้วล่ะ มินจุน ฉันไม่โลเลตามคำพูดของคุณหรอก อย่าห่วงไปเลย”
“ก็ได้ครับ ก่อนอื่นเลย…อร่อยครับ มีสิ่งที่อาหารควรมีครบถ้วน แต่ถ้าจะให้หาข้อด้อยก็คือมันไม่ค่อยสนุกน่ะครับ”
“สนุก?”
เดโบร่าห์พูดทวนเหมือนคิดไม่ถึง มินจุนจึงพยักหน้า
“ผมไม่ได้พูดในฐานะโชมินจุนผู้มีประสาทรับรสที่แม่นยำนะครับ แต่พูดในฐานะลูกค้าวัยรุ่น ปกติเวลาไปร้านอาหารหรูๆ คนก็มักจะคิดว่ารสชาติเป็นเรื่องพื้นฐาน อยากลองชิมอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน และเดาไม่ออกเลยว่าทำขึ้นมาได้ยังไง”
“หมายถึงสเต๊กนี่มันดูธรรมดาไปใช่มั้ยคะ”
“มันมีรสชาติดีเกินกว่าจะเรียกว่าธรรมดานะครับ แต่ถ้าให้พูดในแง่ลบหน่อยก็ประมาณนั้น”
“เฮ้อ พวกนักชิมมักจะพูดแง่ลบตลอด คราวนี้ที่ฉันไม่ได้ดาวเพิ่มก็เพราะมันธรรมดานี่แหละ”
เดโบร่าห์คร่ำครวญ แต่มินจุนไม่สามารถตอบอะไรได้ การแตะต้องความกังวลของหัวหน้าเชฟยังเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัวมากไป เมื่อชิมอาหารของเดโบร่าห์เสร็จก็มีเชฟคนอื่นเดินเข้ามาหาพร้อมส่งสายตาคาดหวัง สุดท้ายเรเชลก็ทนดูต่อไปไม่ไหวจึงพูดว่า
“พวกเธอไม่ต้องไปทรมานมินจุนเขาหรอก เดี๋ยวร้านสาขาใหญ่เข้าที่เมื่อไหร่ มินจุนจะไปเยี่ยมร้านของทุกคนเอง”
“อะไรนะครับ จริงเหรอครับ”
คำพูดของเรเชลทำให้ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย ปกติหัวหน้าเชฟจะไม่ชอบถูกควบคุม แต่เรเชลเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เห็นเรเชลเป็นคู่แข่ง เรเชลยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้น เพราะฉันตั้งใจจะทำตัวจู้จี้จุกจิกที่สุดในโลก ตอนนี้หยุดความทะเยอทะยานเอาไว้ก่อน พยายามทำอาหารให้ดีที่สุดเพื่อลูกค้าก่อนดีกว่า พื้นฐานของเราสุดท้ายมันไม่ได้อยู่ที่เทคนิค แต่มันอยู่ที่หัวใจไม่ใช่เหรอ”
คำพูดของเรเชลได้ผล แม้หลังจากนั้นก็ยังมีคนที่อยากให้มินจุนลองชิมอาหารของตัวเองอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาต้องการก้าวข้ามกำแพงที่อยู่หน้าพวกเขา น่าจะเป็นเพราะต้องการให้คนที่มีประสาทรับรสที่แม่นยำได้ลองชิมอาหารของตัวเองมากกว่า และตอนนี้เดฟก็ยื่นจานหนึ่งให้มินจุน มันเป็นปลากะพงที่ใช้เทคนิคอาร์โรเซ่ กล่าวคือทำให้สุกด้วยน้ำมันที่ผสมเนยและน้ำมันมะกอกลงไปจำนวนมาก โรยน้ำตาลลงไปบนหนัง แล้วใช้เครื่องพ่นไฟทำให้น้ำตาลละลาย ด้านบนมีโฟมมะนาว ด้านล่างมีซอสที่ทำจากอะโวคาโดผสมกับน้ำมันมะกอกราดไว้ รสชาติดีพอๆ กับจานปลากะพงที่เรเชลให้พวกเขาทำ มินจุนมองเดฟด้วยแววตาแปลกใหม่ เลเวลการทำอาหารระดับเก้า ความสามารถในหมวดหมู่อื่นๆ ก็อยู่ระดับเดียวกับเรเชล ไม่ใช่ว่าในบรรดาหัวหน้าเชฟทั้งหลายจะไม่มีคนที่เลเวลการทำอาหารระดับเก้าอยู่เลย แต่ก็ไม่ได้มีเยอะ มินจุนกระซิบเบาๆ ว่า
“พูดตรงๆ นะครับ จานของเดฟดีที่สุดในบรรดาอาหารที่เชฟให้ผมชิมเลย”
“คำพูดแบบนี้ทำไมต้องกระซิบด้วยล่ะ ช่วยพูดให้คนอื่นได้ยินหน่อยเถอะ”
“เพราะผมไม่อยากถูกเกลียด”
เดฟยิ้มให้กับคำพูดของมินจุน
“การที่เราใช้ชีวิตในฐานะเชฟอาจจะมีหลายครั้งที่เราต้องเลือก คุณเองก็น่าจะเจอกับตัวเองมาแล้วและหลายครั้งด้วย”
“เลือกอะไรเหรอครับ”
“อย่างที่คุณได้มาดูแลรับผิดชอบอาหารโมเลกูลาร์ก็เรียกได้ว่าเป็นการเลือกแบบหนึ่ง ได้ยินว่าเลือกคนที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดให้มาทำอาหารโมเลกูลาร์ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็พยายามแค่พอประมาณก็ได้ การที่คุณทำอย่างดีที่สุด สุดท้ายก็เหมือนคุณเป็นคนเลือกเอง”
“ก็จริงอย่างที่พูดนะครับ”
มินจุนยักไหล่ เดฟจึงยิ้มและพูดต่อ
“เท่าที่ดู ผมว่าคุณเข้ากับอาหารโมเลกูลาร์ได้ดีเลย เหมือนฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้กลไกทั้งหมดดำเนินไป ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นฟันเฟืองที่ใหญ่ได้สักแค่ไหน แต่ถึงยังไงผมก็รู้สึกคาดหวัง”
“ขอบคุณครับ เชฟเก่งๆ แบบเดฟพูดขนาดนี้ทำผมภูมิใจมาก แล้วต่อไปผมจะต้องเลือกอะไรอีกครับ”
มินจุนถามด้วยหน้าตาสงสัย เขาคาดหวังที่จะได้ฟังคำแนะนำจากประสบการณ์ของบรรดาหัวหน้าเชฟเช่นเดียวกับที่หัวหน้าเชฟอยากฟังคำวิจารณ์เรื่องรสชาติอาหารที่แม่นยำจากเขา โชคดีที่เดฟมีประสบการณ์และความสามารถมากพอที่จะเป็นคนให้คำแนะนำ เดฟคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาว่า
“สุดท้ายคุณต้องเลือกว่าตัวเองจะอยู่ตรงไหน เชฟมีหลายแบบ อย่างเชฟอาหารทั่วไปกับอาหารโมเลกูลาร์ก็แตกต่างกัน เชฟที่อยู่แต่ในครัวกับสตาร์เชฟที่อยู่หน้ากล้องก็แตกต่างกัน บางคนขายอาหารหรูๆ วัตถุดิบแพงๆ บางคนเอาวัตถุดิบราคาถูกมาทำให้รสชาติอร่อย เป็นอาหารเพื่อคนทั่วไป มีหัวหน้าเชฟที่คอยควบคุมดูแลภาพรวมของครัว และเชฟที่คิดว่าถ้าไม่ได้ทำอาหารด้วยมือของตัวเองมันก็ไม่มีความหมาย”
“ความโลภของคนไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ นะครับ ผมอยากจะทำทุกอย่างที่เดฟพูดมาทั้งหมดเลย”
“ผมก็อยากเอาใจช่วยนะ แต่จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เคยเห็นใครที่จับกระต่ายได้ทุกตัวมาก่อนเลย สุดท้ายก็ต้องเลือก และเมื่อช่วงเวลาที่ต้องเลือกนั้นมาถึง ขอให้คุณลังเลใจกับมันจนถึงช่วงสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นกี่เดือนหรือกี่ปีก็ไม่เป็นไรครับ เพราะหลังจากที่คุณคิดมาอย่างหนักแล้วสิ่งที่คุณเลือกมันจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต”
“นี่เป็นความลับนะครับ ความจริงผมชอบการคิดเยอะๆ ดังนั้นเรื่องที่เดฟบอกมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงผมมากนัก”
“ถ้างั้นก็โชคดีไป”
เดฟยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบแมนๆ และดูเท่ ถึงขนาดทำให้คิดในใจว่าอยากเป็นเชฟที่มีรอยยิ้มแบบนั้นบ้าง มินจุนหันหน้าไป เห็นเรเชลอยู่ท่ามกลางหัวหน้าเชฟที่มีชื่อเสียงอย่างสง่าผ่าเผย
“อยากมีสถานที่แบบนี้จังครับ”
“สถานที่?”
“ที่ที่ลูกศิษย์กับอาจารย์ได้มาเจอกัน ระบายความคับข้องใจ และช่วยกันคิดเรื่องที่ลำบาก จับมือกันไว้ ภาพแบบนี้มันดูดีมากเลยครับ”
“พูดแปลกๆ นะ คุณก็มีอยู่แล้วนี่ มินจุน”
เดฟมองสีหน้าสับสนของมินจุนแล้วยิ้ม
“คุณเป็นสมาชิกของครัวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของภาพพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องถอยออกมามองอยู่ห่างๆ หรอก”
“…นั่นสินะ จริงด้วย แปลกจัง ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันไกลตัวผมจัง”
“ให้ผมช่วยทำให้รู้สึกใกล้ตัวขึ้นมั้ยล่ะ”
คำพูดของเดฟทำให้มินจุนมองด้วยความตกใจ เดฟหันไปมองพวกหัวหน้าเชฟแล้วตะโกนเสียงดังว่า
“อาจารย์ครับ ทุกคน พวกเรามาถ่ายรูปกันเถอะ”
“อ้อ เอาสิ ลืมนึกเรื่องถ่ายรูปไปเลยนะเนี่ย ไม่ค่อยได้มาเจอกันแบบนี้”
“เอลล่าถ่ายเองค่ะ!”
“ไม่ได้ เอลล่าตัวเล็ก มันลำบากลูก”
“หนูขึ้นไปบนโต๊ะก็ได้”
เอลล่าพึมพำพร้อมทำหน้าตาบูดบึ้ง มินจุนจึงยิ้มกว้างแล้วลูบหัวของเอลล่า
“ไว้วันหลังมาถ่ายกับน้านะ เดี๋ยวให้เอลล่าเป็นคนถ่าย”
“ก็ได้…”
แม้จะพยายามไม่แสดงออก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผิดหวัง ทั้งพวกเชฟ พนักงานเสิร์ฟ และฝ่ายของหวานพากันมายืนอยู่ตรงหน้าครัว คนที่ถือกล้องคือมินจุน เขาตั้งเวลาและรีบกลับไปยืนอยู่หลังเอลล่า แล้วใช้นิ้วยกมุมปากสองข้างของเอลล่าที่บึ้งอยู่
พึ่บ!
แสงแฟลชวาบขึ้นมา
*กงฟี (Confit) คือเทคนิคการทำอาหารของฝรั่งเศส โดยใช้น้ำมันจากสัตว์มาตุ๋น ความร้อนจากน้ำมันจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในเนื้อจนมันนุ่ม กงฟีเหมาะกับการตุ๋นเนื้อสัตว์ที่มีความเหนียวและแห้ง
*เอสพูม่า (Espuma) เป็นเทคนิคการเปลี่ยนของเหลวให้มีเนื้อเป็นโฟม เพื่อให้รสชาติอาหารและเครื่องดื่มนุ่มละมุนขึ้น ซึ่งคำว่าเอสพูม่าก็คือคำว่าโฟมในภาษาสเปนนั่นเอง
*ฟูซิลลี (Fusilli) พาสต้าชนิดหนึ่ง เป็นเส้นแบบสั้น ลักษณะเป็นเกลียวเหมือนสกรู มีความหนากว่าเส้นสปาเกตตี้หรือพาสต้าทั่วไป
*ตาเปนาด (Tapenade) คือเครื่องจิ้มชนิดหนึ่ง ส่วนผสมหลักคือมะกอก นำมาบดเข้ากับเครื่องเทศหรือเนื้อสัตว์ต่างๆ มักใช้เป็นเครื่องเคียงหรือเครื่องชูรสแทนซอส
Related
Comments
