Uncategorized
ทดลองอ่าน สยบฟ้าพิชิตปฐพี เล่ม 30 ตอนที่ 1
คณะทูตของอาศรมเทพยังคงมีท่าทีแข็งกร้าว ขุนนางต้าถังที่เข้าร่วมการเจรจาตกอยู่ในสถานะที่ถูกกดดันอย่างมาก ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ที่ขุนนางหนุ่มเลือดร้อนบางคนเอาไปบริภาษต่อ ทำให้รายละเอียดในการเจรจารั่วไหลออกไปจนราษฎรชาวต้าถังล่วงรู้เงื่อนไขที่แฝงด้วยความอัปยศจากฝ่ายอาศรมเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการตัดแบ่งที่ราบเซี่ยงหวั่นและเขตตงซานให้ฝ่ายตรงข้ามทำให้ชาวถังขุ่นเคืองอย่างสุดขีด พันปีที่ผ่านมาต้าถังเคยหรือที่ต้องรับความอัปยศถึงเพียงนี้
จากชายแดนเหนือจนถึงเฉิงจิง จากเทือกเขาชงหลิ่งจนถึงถนนจูเชวี่ย ทั้งทหารและชาวบ้านของต้าถังไม่รู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ไปมากเท่าไรจึงพลิกสถานการณ์ได้ในที่สุด เห็นชัดว่าไม่ได้รบแพ้ แต่เหตุใดต้องลงนามในสัญญาที่ลดทอนอำนาจและสร้างความอัปยศให้แก่แคว้นเช่นนี้
ในชั่วเวลาเพียงไม่นานก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั้งเมือง อารมณ์ของผู้คนพลุ่งพล่าน พ่อค้าเร่ไม่สนใจจะขายของ ก๋วยเตี๋ยวเปรี้ยวเผ็ดเหมือนขาดรสชาติ ไม่ว่าทำงานอะไรล้วนไม่มีกะจิตกะใจ ไม่มีผู้ใดนั่งนิ่งอยู่บ้านได้ เหล่าชาวบ้าน บัณฑิต และทหารบาดเจ็บที่กลับมาจากแนวหน้าพากันมาที่ลานหน้าวังหลวง ไม่มีใครก่อความวุ่นวาย ถึงขั้นไม่มีใครส่งเสียงโวยวาย คนนับล้านเพียงยืนนิ่งเงียบอยู่หน้าวังหลวงท่ามกลางฝนหนาวของฤดูวสันต์ ยืนกันจนถึงดึกดื่นยังไม่สลายตัว คนนับล้านรวมตัวอยู่ด้วยกันแต่เงียบเหมือนสุสาน หน้าวังหลวงเงียบสนิท เรื่องนี้สำหรับผู้คนในวังคือแรงกดดันที่มากจนเกินพรรณนา เหล่าขุนนางที่รู้รายละเอียดต่างดูชราวัยลงในพริบตา
ค่ำคืนนี้คนจำนวนมากกำลังรอคอย ส่วนบางคนกำลังทำอย่างอื่น พวกมันไม่ใช่ไม่ขุ่นเคืองใจ แต่เพราะพวกมันจำเป็นต้องพิจารณาถึงเรื่องที่จะตามมาในภายหลัง
ที่ภูเขาหลังสถานศึกษามู่โย่วแบกตะกร้าไม้เดินอยู่ในเมฆหมอกกลางเขา หยิบธงเล็กๆ จากในตะกร้าออกมาปักลงในร่องหินหรือไม่ก็ในดินห่างกันเป็นระยะพอสมควร ค่ายกลประตูเมฆเป็นค่ายกลที่จอมปราชญ์ถ่ายทอดให้นาง เป็นเกราะป้องกันที่สำคัญของภูเขาด้านหลัง ตอนที่นางอยู่หุบเขาชิงสยา ค่ายกลนี้ไม่มีใครดูแล ถูกเจ้านิกายแห่งอาศรมเทพบุกทลายจนได้รับความเสียหายอย่างมาก ตอนนี้แม้เจ้าอารามบาดเจ็บสาหัสยากจะฟื้นฟูได้ แต่ปีศาจสุราและคนขายเนื้อกลับเป็นเหมือนเมฆฝนมืดครึ้มที่เพิ่งก่อตัว ปกคลุมจิตใจของเหล่าศิษย์สถานศึกษา นางต้องซ่อมแซมค่ายกลให้เสร็จโดยเร็วจึงจะวางใจ
โรงตีเหล็กริมลำธารยังคงเงียบเชียบ ศิษย์พี่หกนอนหนุนค้อนเหล็ก เหม่อมองป่าเขาในยามค่ำคืน ในห้องด้านหลังมีเสียงที่อ่อนโยนดังมาอยู่เป็นระยะ
“คนหนึ่งไร้ระยะและไร้ขอบเขต ส่วนอีกคนใกล้เคียงกับด่านอมตะ ดูเหมือนว่าขอเพียงไม่เข้าฉางอันก็ไม่มีใครสังหารพวกมันได้ แต่ข้าจำได้ว่าอาจารย์เคยพูดประโยคหนึ่ง”นิ้วของศิษย์พี่ใหญ่วาดเบาๆ ในถาดเหอซานพลางเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน“นอกจากเฮ่าเทียน บนโลกนี้ไม่มีใครที่รู้ทุกอย่างและทำได้ทุกเรื่อง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกมันต้องถูกสังหารได้อย่างแน่นอน ดังนั้นตอนนี้พวกเราควรเริ่มคำนวณ ข้าคิดว่าคงเป็นงานที่ยุ่งยากและใหญ่โตไม่น้อย”
ศิษย์พี่สี่เอ่ยว่า
“ศิษย์น้องยินดีช่วยศิษย์พี่คิดอย่างละเอียด”
อวี๋เหลียนนั่งครุ่นคิดอยู่ริมหน้าผา นิ้วมือเขียนตัวอักษรในสายลมอยู่ตลอดเวลา ถังเสี่ยวถังอยู่ที่บันไดหิน กำลังเจาะทางเดินให้กว้างขึ้น ดาบใหญ่สีโลหิตในมือยิ่งเหมือนกระบองเหล็กเข้าไปทุกที
เสี่ยวไป๋นอนเบื่อหน่ายอยู่ที่ขั้นบันไดด้านบน จู่ๆ ตรงหน้าผาก็มีลมพัดมา ทำให้ชั้นเมฆยามค่ำคืนกระจายตัวออกเผยให้เห็นดวงจันทร์ดวงนั้น เสี่ยวไป๋หอนใส่ดวงจันทร์ เสียงสดใสนุ่มนวล
จวินโม่ยืนอยู่ริมสระน้ำ จางเนี่ยนจู่และหลี่กวงตี้กำลังรับการกระแทกจากม่านน้ำตก ส่วนตัวมันกำลังคิดค้นเพลงกระบี่ห่านขาวล้างขาในสระน้ำอยู่ข้างกายมัน
เสียงหอนของเสี่ยวไป๋ดังมาจากหน้าผา ห่านขาวเงยหน้ามองไปทางนั้นอย่างดูแคลน แล้วโก่งคอร้องใส่ดวงจันทร์
หนิงเชวียยืนอยู่ในหอสูงของวังหลวง
มันกำลังมองดวงจันทร์ มองฝูงชนที่เงียบสงบและเบียดเสียดกันอยู่ที่ลาน คล้ายได้ยินอะไรบางอย่างจากนั้นนึกเรื่องบางเรื่องขึ้นได้จึงหัวเราะ
ตำหนักในยามค่ำคืนเงียบสนิทเชิงเทียนเหมือนต้นไม้สีทองส่ายไหวหนิงเชวียมองตาพระอัครมเหสีพลางเอ่ยว่า
“ความอัปยศนำมาซึ่งความกล้าและความโกรธ ถ้ามีช่องทางที่จะปลดปล่อยความโกรธได้ ที่เหลือก็คือความกล้าล้วนๆ นี่คือคำพูดของท่าน ตอนนี้พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาว่าจะให้ใครมารับความโกรธของชาวถัง”
พระอัครมเหสีไม่ได้ตอบประการใด หนิงเชวียเอ่ยต่อไปว่า
“หลังจากตัดแบ่งที่ราบเซี่ยงหวั่นไปแล้ว ปัญหาเรื่องม้าศึกยกให้เป็นหน้าที่ของสถานศึกษา”
พระอัครมเหสีส่ายหน้า
“ต่อให้สถานศึกษาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยมือเปล่า”
“ทุกสิ่งที่สูญเสียไปด้วยมือข้า วันหน้าต้องเอาคืนกลับมาอย่างแน่นอน”
พระอัครมเหสีไม่เข้าใจว่ามันเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่สุดท้ายก็คล้อยตามคำพูดที่หนักแน่นของมัน ครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าลงนามก็ได้”
“ท่านไม่อาจลงนามเพราะไม่อาจให้ท่านและจักรพรรดิมารับความโกรธของราษฎร”
“แต่เจ้าเคยบอกว่าสถานศึกษาไม่อาจลงนาม เพราะสัญญานี้สุดท้ายแล้วต้องผิดสัญญา”
“อาศรมเทพเตรียมการมาเต็มที่ จะต้องขอให้ข้าหรืออาจถึงขั้นศิษย์พี่มาลงนามแน่นอน ในส่วนของราชสำนัก เยี่ยหงอวี๋พูดถูก พวกเรายังมีทางถอย”
พระอัครมเหสีเฉลียวฉลาด เข้าใจความหมายของมันได้ในทันที จึงเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
“ผู้นั่งบนบัลลังก์คือบุตรของข้า ข้าควรต้องรับภาระและหน้าที่ที่สมควร คนอื่นๆ ในสกุลหลี่ลงนามหรือข้าลงนามล้วนไม่ต่างกัน”
“อย่างน้อยสามารถระงับความขัดแย้งได้”หนิงเชวียเอ่ย“เป็นราชนิกุลสกุลหลี่ การลงนามในสัญญาที่ทำให้แคว้นได้รับความอัปยศมีแต่ต้องใช้ความตายขอขมาจึงสามารถสลายความโกรธของราษฎร สถานการณ์ในตอนนี้ท่านไม่อาจตาย”
“สถานศึกษาเข้าสู่โลกิยะแล้ว เซียนเซิงใหญ่รับปากว่าจะสอนบุตรข้า ราชสำนักไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วอันที่จริงเวลานี้มาคิดดูอย่างละเอียดจะมีหรือไม่มีข้าไม่สำคัญต่อต้าถังอีกต่อไป”
พระอัครมเหสียิ้ม
“อีกอย่างสำหรับข้าในตอนนี้ความตายไม่น่ากลัวเลยสักนิด”
หนิงเชวียย่อมไม่ให้พระอัครมเหสีสละชีวิตมันออกจากวังไปตำหนักชินอ๋องในตอนกลางคืน
แสงเทียนในห้องหนังสือหม่นมัวใบหน้าของหลี่เพ่ยเหยียนยังคงสง่างาม รอยยิ้มน่าสนิทสนม เพียงแต่มีริ้วรอยตรงหางตาเพิ่มขึ้น สองคิ้วที่เคยเหมือนกระบี่ก็อ่อนโยนลงมาก
“ชีวิตนี้ข้าไม่ได้ทะเยอทะยานอะไรมากนัก ข้าเพียงอยากช่วยเสริมส่วนที่บกพร่องให้เสด็จพี่โดยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนิกายเต๋าแทนราชนิกุล อย่างมากก็แค่อยากทิ้งชื่ออ๋องผู้ปรีชาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”
หลี่เพ่ยเหยียนมองหนิงเชวียที่อยู่ตรงหน้าพลางยิ้มเยาะตัวเอง
“ตอนนี้มาคิดดู ถ้าข้าไม่ได้เกิดในตระกูลของจักรพรรดิ แต่เป็นผู้ครองเขตของเขตใดเขตหนึ่ง เชื่อว่าคงมีประโยชน์กว่าตอนนี้มาก”
“นี่คือปัญหาของท่าน” หนิงเชวียเอ่ย“ในยุครุ่งเรือง เรื่องที่ท่านคิดนั้นตื้นเขินเกินไป และที่ผ่านมาท่านก็อ่อนข้อให้อาศรมเทพมากจนเกินไป องค์จักรพรรดิไม่พอพระทัย สถานศึกษาไม่พอใจ ราษฎรก็ไม่พอใจ”
“ดูท่าข้าคงหมดประโยชน์แล้วจริงๆ”
“ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นบทบาทที่เหมาะสมกับตัวท่าน ข้าจึงคิดว่าก่อนจะจากโลกนี้ไปท่านยังทำคุณประโยชน์ให้ต้าถังและราชนิกุลได้”
หลี่เพ่ยเหยียนมองเชิงเทียนบนโต๊ะ มองน้ำตาเทียนที่ไหลลงมา เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า
“หลังจากเจ้าฆ่าซย่าโหวก็ไม่เคยสนใจการมีตัวตนของข้า ข้าคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะสถานศึกษาเห็นแก่หน้าเสด็จพี่จึงกดดันเจ้า หรือไม่เจ้าก็ฆ่าคนไปมากพอแล้ว ความแค้นในอดีตจึงสลายไปหมดแล้ว หรืออาจเป็นเพราะเจ้าก็แค่อยากให้ข้าจมอยู่ในความหวาดกลัวเหมือนตายทั้งเป็น คิดไม่ถึงว่าที่แท้เจ้ารอข้าอยู่”
“ไม่มีใครคำนวณเรื่องราวได้หลายปีหรือหลายสิบปีเหมือนเฮ่าเทียนหรอก ข้าก็ไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น แต่เหมือนอย่างที่ศิษย์พี่สามเคยพูด คนบางคนมีชีวิตอยู่มีประโยชน์กว่าตาย”
“มีประโยชน์ตรงที่…จะได้ตายในเวลาที่เหมาะสมสินะ”
“ถูกต้อง”
“หนิงเชวียเจ้าเป็นคนที่เลือดเย็นที่สุดในโลกจริงๆ”หลี่เพ่ยเหยียนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “วันนี้ต้าถังพบเจอกับลมมรสุมจำเป็นต้องได้คนเลือดเย็นและนึกถึงความเป็นจริงเช่นเจ้ามาปกป้อง”
“ทุกคนล้วนมีสิทธิ์พูดว่าข้าเลือดเย็น แต่ท่านไม่มี”
หนิงเชวียไม่หลับตลอดคืนไม่ใช่กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา แต่ตระเวนไปทั่วฉางอัน หลังออกจากตำหนักชินอ๋องแล้วมันกลับไปพบเยี่ยหงอวี๋ที่เรือนเล็กริมทะเลสาบ
“สถานศึกษาและราชนิกุลล้วนไม่อาจไปอาศรมเทพเพื่อขอขมาเฮ่าเทียน”
“ได้ส่งคณะทูตไปแทนได้”
“ไม่ได้”
เยี่ยหงอวี๋ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า
“เช่นนั้นก็ทำอย่างที่แคว้นหนานจิ้นเคยทำเมื่อนานมาแล้ว ให้เรือนหงซิ่งเจาเป็นตัวแทนราชสำนักไปร่ายรำที่อาศรมเทพ เปลี่ยนจากเพื่อการเฉลิมฉลองเป็นเพื่อขอขมา”
“อาจทำได้แต่ต้องไม่ใช่ในฐานะตัวแทนของราชสำนัก และข้าต้องถามความเห็นของพวกนางก่อน”
“พูดต่อไป”
“เงื่อนไขอื่นๆ ที่เหลือล้วนรับปากได้แต่อาศรมเทพต้องรับประกันความปลอดภัยของแคว้นต้าเหอ ไม่ว่าแคว้นเยวี่ยหลุนหรือหนานจิ้น หากล่วงล้ำเขตแดนของแคว้นต้าเหอแม้เพียงก้าวเดียวเท่ากับทำผิดสัญญา”
“ไม่มีปัญหา และเช่นเดียวกันต้าถังต้องรับประกันความปลอดภัยของเขตชิงเหอ”
“เรื่องนี้อยู่ในเงื่อนไขของพวกเจ้าอาศรมเทพอยู่แล้ว”
เยี่ยหงอวี๋ส่ายหน้า
“ข้าหมายถึงความปลอดภัยของทุกคนของเขตชิงเหอ รวมถึงที่ถูกขังอยู่ในฉางอันตอนเกิดจลาจลด้วย ต้าถังต้องปล่อยตัวพวกมัน”
“ดูท่านี่คงเป็นเงื่อนไขที่ตระกูลใหญ่เขตชิงเหอร้องขอต่ออาศรมเทพตอนเข้าสวามิภักดิ์สินะ”
“ถ้าแม้แต่เรื่องนี้อาศรมเทพยังทำไม่ได้ แล้วจะทำให้สานุศิษย์นับล้านบนโลกศรัทธาได้อย่างไร”
หนิงเชวียนิ่งเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยว่า
“ข้ารับปากเจ้า เมื่อลงนามเสร็จขอเพียงกองทัพร่วมถอยออกจากเขตชิงเหอข้าจะส่งพวกที่อยู่ในชุมนุมชิงเหอกลับไป”
Related
Comments
