(4)
วันนั้นหลังจากพบเผยเสวียนจิ้งแล้ว ขอเพียงมีเวลาต้วนเฉิงซื่อก็จะเข้าไปในห้องหนังสือของอู่หยวนเหิงเพียงลำพัง ทั้งเขียนทั้งวาดอย่างเบิกบานสำราญใจ อีกทั้งไล่บรรดาคนรับใช้ออกไปนอกห้อง
หลังจากมุ่งมั่นเช่นนี้สองวัน ในที่สุดก็มีคนไปรายงานต่อต้วนเหวินชาง
ต้วนเหวินชางได้ฟังแล้วไม่ได้ทำเช่นครั้งก่อน ครั้งนั้นหลังจากได้รับรายงานจากครูที่สำนักฉงเหวิน ก็เดินทางไปวังตะวันออกลอบฟังต้วนเฉิงซื่อเล่านิทานประหลาด หากแต่ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่แล้วลุกเดินไปเรือนด้านหลัง
อู่เซี่ยวเคอภรรยาของเขา ธิดาของอู่หยวนเหิง ได้ยินเสียงดังก็วางพู่กันในมือลง ออกมาต้อนรับ ตามธรรมเนียมต้าถัง สตรีสูงศักดิ์ยามอยู่ในบ้านก็แต่งกายงดงาม บนศีรษะนางเกล้าสูงเป็นทรงเหยี่ยวสยายปีก ชุ่ยเตี้ยน* รูปดอกเหมยติดกลางหน้าผาก เอ๋อหวง** ปัดไปปลายคิ้วสองข้างคล้ายหางหงส์ ภาพเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้วนเหวินชางคุ้นเคย ทว่าขนคิ้วคู่ที่พู่กันดำวาดทั้งลึกทั้งเข้ม ลักยิ้มกลมสีดำข้างมุมปากหนึ่งคู่ กลับเป็นวิธีเสริมความงามที่นางเรียนรู้ใหม่หลังกลับมาถึงฉางอัน ต้วนเหวินชางนั้นขัดสายตาอยู่บ้าง
ต้วนเหวินชางนั่งลง มองดูกระดาษที่ภรรยากำลังเขียน เอ่ยถามขึ้น “เจ้ากำลังค้นคว้าภาพเสวียนจีหรือ”
อู่เซี่ยวเคอตอบน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะรั่วอินพูดถึงภาพเสวียนจีที่พวกเรามักเล่นกันในวัยเยาว์ กระตุ้นให้ข้าย้อนคิดถึงอดีต เดิมก็ว่างไร้เรื่องกิจอันใดจึงทำเล่นเสียเลย”
แตกต่างจากต้วนเหวินชางผู้อาศัยอยู่จิงโจวมาแต่เล็ก ต่อมารับราชการที่ซีชวนหลายปี อู่เซี่ยวเคอเกิดที่ฉางอัน หลังจากแต่งเข้าบ้านสกุลต้วนจึงเดินทางไปไกลถึงซีชวน จนถึงปีที่แล้วค่อยย้ายกลับฉางอัน อู่เซี่ยวเคอพำนักที่เฉิงตูสิบกว่าปี ต้วนเฉิงซื่อบุตรชายโทนก็เกิดที่นั่น
อู่เซี่ยวเคอในวัยดรุณลือชื่อว่าทรงความรู้ ด้วยเหตุนี้จึงคบหารักใคร่สนิทสนมกับพี่น้องหญิงแห่งตระกูลซ่งเยี่ยงปราชญ์ชื่นชมปราชญ์ โดยเฉพาะอายุนางไล่เลี่ยกับซ่งรั่วอินจึงสนิทสนมกันมากที่สุด แม้อู่เซี่ยวเคอออกเรือนไปไกลถึงเฉิงตูหลายปีนั้น ทั้งสองยังเขียนจดหมายติดต่อกันมิได้ขาด ครั้งนี้นางกลับนครหลวงก็ได้ติดต่อฟื้นฟูไมตรีกับซ่งรั่วอินอีก เพียงแต่ไม่มีราชโองการเรียกตัว อู่เซี่ยวเคอก็ไม่สะดวกเข้าวังหลวง ซ่งรั่วอินกลับเข้าออกอิสระ ดังนั้นทุกครั้งจึงล้วนเป็นซ่งรั่วอินมาเยี่ยมที่คฤหาสน์สกุลอู่
“ซ่งรั่วอิน? นางมาอีกแล้ว?”
อู่เซี่ยวเคอชำเลืองมองสามีแวบหนึ่ง “มีอันใดหรือ ท่านมีธุระจะหาตัวนาง?”
“ข้า? ข้าจะมีธุระอันใด…”
“เรื่องสถาปนากัวกุ้ยเฟยเป็นพระอัครมเหสี ข้าช่วยท่านสืบข่าวแล้ว”
“เป็นอย่างไร” ต้วนเหวินชางคิดทำท่านิ่งเฉย ทว่าในสายตาคนที่รู้จักเขาดีที่สุดอย่างภรรยา ผลที่ได้กลับตรงข้าม
“ตามที่รั่วอินบอก กัวกุ้ยเฟยสมควรสถาปนาขึ้นเป็นพระอัครมเหสีนานแล้ว ทว่ากลับประสบอุปสรรคหลายครั้ง น่าจะเกี่ยวกับท่าทีขององค์จักรพรรดิด้วย ทว่าปีก่อนพระองค์สถาปนาองค์ชายสามเป็นองค์รัชทายาทแล้ว กัวกุ้ยเฟยถือเป็นมารดาใหญ่ของเหล่าราชโอรสราชธิดา อีกทั้งยังเป็นมารดาให้กำเนิดขององค์รัชทายาท การสถาปนาพระอัครมเหสีน่าจะเป็นไปตามลำดับอย่างราบรื่น”
ต้วนเหวินชางครุ่นคิด อู่เซี่ยวเคอก็ไม่สนใจ หยิบพู่กันขึ้นมา พิจารณาภาพทอไหมเสวียนจีที่เบื้องหน้า เขียนสืบต่อ
ครู่หนึ่งต้วนเหวินชางจึงตื่นจากภวังค์ ชวนภรรยาคุย “ภาพเสวียนจีนี่น่าสนุกหรือ ข้าไม่รู้จริงๆ”
“การละเล่นของสตรีในหอห้องท่านย่อมไม่รู้จัก”
“ฮะๆ” ต้วนเหวินชางหัวเราะแห้งๆ กล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าพระนางอู่เจ๋อเทียนเคยมีพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับภาพเสวียนจี คิดว่าคงมิใช่เรื่องธรรมดาเพียงการละเล่นของสตรีในหอห้องเท่านั้น”
ได้ยินสามีกล่าวถึงสตรีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในตระกูลของตนเอง อู่เซี่ยวเคอจึงเผยรอยยิ้มออกมาได้ ตอบว่า “ใช่แล้ว พวกข้าเมื่อครั้งยังเด็กต้องท่องบทพระราชนิพนธ์นี้ จนถึงทุกวันนี้ยังจำได้ไม่น้อย”
* ชุ่ยเตี้ยน หมายถึงเครื่องประดับศิราภรณ์ชนิดหนึ่งที่ทำจากขนนกกระเต็นสีฟ้าเขียว นิยมติดบนใบหน้า หากทำจากวัสดุอื่นเป็นสีแดงหรือเหลือง เรียกว่าฮวาเตี้ยน
** เอ๋อหวง แปลว่าเหลืองเหนือหน้าผาก เป็นวิธีการผัดหน้าโดยแต้มแป้งฝุ่นสีเหลือง มีลักษณะเป็นจุดสองจุดเหนือคิ้ว